- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- นโยบาย ป.ตรี 1.5 หมื่น "ดร.วรากรณ์" หวั่นทำเด็กเรียนอาชีวะน้อยลง
นโยบาย ป.ตรี 1.5 หมื่น "ดร.วรากรณ์" หวั่นทำเด็กเรียนอาชีวะน้อยลง
อธิการบดี มธบ. เชื่อเด็กรวยได้ประโยชน์ จากนโยบายกองทุนเงินกู้ยืมฯ โฉมใหม่ แม้กำหนดให้เฉพาะสาขาที่ขาดแคลนแล้ว แนะให้เพิ่มอาชีวะกู้ยืมได้ด้วย เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมทางการศึกษา
วันที่ 27 สิงหาคม สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดอบรมหลักสูตรผู้บริหารการสื่อสารมวลชนระดับสูง (บสส.) รุ่นที่ 3 โดยมี รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ บรรยายเรื่อง “ทิศทางปฏิรูปการศึกษาไทย” ณ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ
รศ.ดร.วรากรณ์ กล่าวถึงปัญหาการศึกษาของไทยว่า เกิดจากการขาดความมุ่งมั่นและความต่อเนื่องในการยกระดับมาตรฐาน เนื่องจากระบบการศึกษาไทยปล่อยให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)คุมทั้งหมด การศึกษาจึงเป็นไปในลักษณะยัดเยียด ไม่ตอบสนองความต้องการของสังคม ศธ.จึงน่าจะปรับเปลี่ยนเป็นเพียงผู้กำหนดกติกาเท่านั้น โดยเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทมากขึ้น
“ขณะที่ความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบายพบว่า รัฐมนตรีใหม่ที่เข้ามาไม่ว่าจะพรรคเดียวกัน หรือต่างพรรคมักจะมีความฝันที่แตกต่างกัน ไม่อยากสานต่อนโยบายเดิม บางรายเลวร้ายกว่าคือ ไม่อยากสานต่อ แต่ก็ไม่รู้จะทำอะไร สุดท้ายก็ถูลู่ถูกังกันไป”รศ.ดร.วรากรณ์ กล่าว และว่า ศธ. จัดเป็นกระทรวงเกรดซี จึงไม่มีใครอยากเป็นรัฐมนตรี นักการเมืองส่วนใหญ่ที่เข้ามาจึงไม่มีคุณภาพ อีกทั้งการเมืองยังเข้ามาเจาะวงการศึกษา มีนโยบายเอาใจครูกันยกใหญ่
ส่วนเรื่องการจัดการทรัพยากรเพื่อการศึกษานั้น รศ.ดร.วรากรณ์ กล่าวว่า เป็นไปในลักษณะบิดเบี้ยว เงินไม่ถึงมือเด็กอย่างเต็มที่ งบประมาณของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ประมาณ 200,000 กว่าล้านบาท นับเป็นการลงทุนมหาศาล แต่กลับไม่ช่วยให้คุณภาพการศึกษาไทยดีขึ้น เนื่องจากงบดังกล่าวแบ่งเป็นงบบุคลากรถึง 81% ขณะที่งบการดำเนินงานอยู่ที่ 5% งบลงทุน 2% และงบเงินอุดหนุน 12% เท่านั้น ขณะเดียวกันการมองการศึกษาแบบ ศธ. ที่กำหนดให้นักเรียนทุกคนมีรายได้ต่อหัวเท่ากัน ทำให้โรงเรียนในต่างจังหวัดที่มีจำนวนนักเรียนน้อยได้รับเงินอุดหนุนที่น้อยตามไปด้วย เมื่อเทียบกับโรงเรียนในเมืองซึ่งมีจำนวนนักเรียนมากกว่า ได้รับเงินอุดหนุนมากว่า ก็ทำให้คุณภาพการศึกษาแตกต่างกันเกิดเป็นความเหลื่อมล้ำด้านคุณภาพการศึกษาระหว่างเมืองกับชนบทในที่สุด
รศ.ดร.วรากรณ์ กล่าวถึงความสำเร็จของระบบการศึกษาว่า อยู่ที่คุณภาพของครู ซึ่งจะต้องพัฒนาครูให้มีประสิทธิภาพ รวมทั้งหาคนที่เหมาะสมมาเป็นครู อย่างเช่นในประเทศสิงค์โปร์ ครูผู้สอนในระดับประถมศึกษาจำนวน 60% ไม่ได้จบการศึกษาระดับปริญญา จบแค่เกรด 11 หรือมัธยมศึกษาปีที่ 5 ไปเรียนต่ออีก 2 ปีได้ประกาศนียบัตรก็สามารถเป็นครูที่มีคุณภาพ สอนเด็กให้มีความรู้สามารถเข้าเรียนต่อในสถาบันศึกษาที่ดีได้ สิ่งเหล่านี้จึงสะท้อนว่า คุณภาพครูไม่ได้ขึ้นอยู่กับใบปริญญา แต่อยู่ที่การอุดมปัญญามากกว่า นอกจากนี้ต้องสร้างระบบการศึกษาที่สามารถทำให้เกิดการเรียนการสอนที่ดีที่สุดแก่เด็กทุกคน
"ไทยมีปัญหาเรื่องคุณภาพครูอย่างมาก ทั้งการขาดจิตวิญญาณของความเป็นครู การมีภาระงานธุรการที่ต้องรับผิดชอบมากเกินไป รวมถึงการกระจุกตัวของครูในโรงเรียนเขตเมือง เช่น ครูส่วนใหญ่จะนิยมอยู่ในโรงเรียนเขตเมือง เพราะการเดินทางสะดวก นักเรียนสามารถเรียนพิเศษในช่วงเย็นได้ ขณะเดียวกันยังพบปัญหาเรื่องการขาดแคลนครู ซึ่งจากการสำรวจโรงเรียงของ สพฐ. จำนวน 31,500 แห่งทั่วประเทศพบว่ากว่า 40% มีนักเรียนน้อยกว่า 200 คน ดังนั้นน่าจะยุบรวมกัน เพื่อคุณภาพการศึกษาที่ดี มีครูมากขึ้น แต่ทั้งนี้ ต้องจ่ายเงินค่าเดินทางให้แก่เด็กที่โรงเรียนถูกยุบ"
สำหรับนโยบายเร่งด่วนเพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษา รศ.ดร.วรากรณ์ กล่าวว่า จะต้องพัฒนาทักษะด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี ภาษาไทยและภาษาต่างประเทศเพิ่มขึ้น ปรับหลักสูตร การจัดการเรียนการสอน และการประเมินผลในรูปแบบใหม่ ตั้งแต่ระดับปฐมวัยจนตลอดชีวิต รวมถึงพัฒนาครูในสาขาที่ขาดแคลน ผลิตครูที่มีจิตวิญญาณ เก่ง ดี นอกจากนี้ต้องสนับสนุนโรงเรียนดีประจำตำบล อำเภอ จังหวัด เพิ่มประสิทธิภาพและลดความสูญเปล่าของโรงเรียนขนาดเล็ก พร้อมทั้งสร้างแรงจูงใจเพื่อให้มีผู้เรียนอาชีวศึกษาเพิ่มขึ้น
ในช่วงท้าย อธิการบดี มธบ. กล่าวถึงนโยบายปริญญาตรี 15,000 บาทของรัฐบาลว่า น่าจะเป็นปัญหาต่อการเพิ่มสัดส่วนนักเรียนอาชีวะ เช่นเดียวกับเมื่อปี พ.ศ. 2549 ที่มีกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) ซึ่งเปิดโอกาสให้เฉพาะนักเรียนระดับมหาวิทยาลัยเท่านั้นที่สามารถกู้ยืมได้ จนทำให้ในช่วงนั้นจำนวนนักเรียนอาชีวะมีน้อยมาก
“แม้ปัจจุบัน กรอ. จะปรับโฉมใหม่ โดยมีการกำหนดให้กู้ยืมได้เฉพาะสาขาที่ขาดแคลน แต่มีข้อสังเกตว่า นักเรียนที่สามารถเรียนวิทยาศาสตร์หรือเทคโนโลยีได้นั้น มักจะมีพื้นฐานทางการศึกษาที่ดี ซึ่งนั่นหมายความว่า ต้องมาจากครอบครัวที่มีฐานะ ดังนั้น นโยบายดังกล่าวอาจจะเป็นการส่งเสริมคนที่รวยอยู่แล้ว แต่หากนโยบายมีการเพิ่มเติมและยอมให้อาชีวะกู้ยืมได้ก็จะเป็นข้อดีและก่อให้เกิดความเท่าเทียมทางการศึกษามากขึ้น แต่ปัญหาที่ตามมาคือ ตัวเลขงบประมาณน่าจะมหาศาล ไหนจะหนี้เก่าที่ค้างชำระอีก”
ทั้งนี้ รศ.ดร.วรากรณ์ กล่าวด้วยว่า อัตราเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท ย่อมมีผลต่อจำนวนนักเรียนเรียนอาชีวะแน่นอน เพราะขณะนี้เงินเดือนอาชีวะอยู่ที่ 6,500 บาทเท่านั้น แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่าคือ เมื่อปริญญาตรีทุกสาขาได้รับเงินเดือนเท่ากัน จะมีใครอยากเรียนในสาขาที่ยากๆ เพราะสุดท้ายผลตอบแทนก็เท่ากันอยู่ดี