- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- กระบวนการยุติธรรมที่ยั่งยืน “วุฒิสาร”ยันต้องไม่กินตัวเอง คนไม่เสื่อมศรัทธา
กระบวนการยุติธรรมที่ยั่งยืน “วุฒิสาร”ยันต้องไม่กินตัวเอง คนไม่เสื่อมศรัทธา
รองเลขาฯสถาบันพระปกเกล้า ชี้มีสัญญาณสะท้อนความรู้สึก-ความจริงของคนในสังคมที่จุดติดเรื่องความยุติธรรม จี้จนท.รัฐเร่งเข้าไปดูแล ขณะที่ "ดร.จุรี" เชื่อบังคับใช้กม.อย่างเท่าเทียม ถ่มช่องว่างได้ พร้อมเสนอผลักดันพลังสังคม "คนดี- ซื้อไม่ได้"
วันที่ 30 สิงหาคม กระทรวงยุติธรรมและสำนักงานกิจกรรมยุติธรรม จัดการประชุมทางวิชาการระดับชาติครั้งที่ 9 “การขับเคลื่อนพลังสังคมสู่การพัฒนากระบวนการยุติธรรมที่ยั่งยืน” ณ ศูนย์การประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมี รศ.ดร.จุรี วิจิตรวาทการ เลขาธิการองค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย รศ.วุฒิสาร ตันไชย รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า และนางสุนี ไชยรส รองประธานกรรมการปฏิรูปกฎหมาย อภิปรายหัวข้อ “การขับเคลื่อนพลังสังคมสู่การพัฒนากระบวนการยุติธรรมที่ยั่งยืน”
รศ.ดร.จุรี กล่าวถึงจุดอ่อนด้อยของกระบวนการยุติธรรมไทยว่า นอกจากตัวบทกฎหมาย ผู้บังคับใช้กฎหมายแล้ว ยังมีเรื่องการรับรู้ของภาคประชาชนในเรื่องความเป็นธรรม ความยุติธรรมที่ใช้ความรู้สึกในการตัดสิน ซึ่งอาจไม่ถูกต้องเที่ยงตรงเสมอไป เช่น ประชาชนกลุ่มหนึ่งอาจมองว่า ตำรวจเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ ไม่มีความเป็นกลาง ไม่เป็นที่พึ่งของประชาชน แต่ความรู้สึกดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าตำรวจไม่ดีหรือไม่ปฏิบัติหน้าที่
“ขณะเดียวกันความรู้สึกล่าช้า ความยุ่งยาก รวมถึงการใช้ภาษาเชิงเทคนิค ที่ต้องพึ่งผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญในการตีความตลอดเวลา ก็ทำให้เกิดความรู้สึกสิ้นหวัง เป็นตำนานของกระบวนการยุติธรรมไทย”รศ.ดร.จุรี กล่าว และว่า ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยล้มเหลวทั้งหมด เพียงแต่จะต้องปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับบริบทของสังคม เพราะกฎหมายไม่ได้เป็นสิ่งที่อยู่นิ่งตายตัว แต่ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของสังคม
ขณะที่การบังคับใช้กฎหมาย รศ.ดร.จุรี กล่าวว่า ต้องเป็นไปอย่างเท่าเทียม คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เพราะจะทำให้ช่องว่างระหว่างความรู้สึกกับความเป็นจริงแคบลง อีกทั้งหากวิเคราะห์กันอย่างถ่องแท้จะพบว่า ความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรมเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่เกิดจากผูกติดกับระบบอุปถัมภ์ อย่างเหนียวแน่น จนทำให้ประชาชนไม่กล้าพึ่งตนเอง ดังนั้น ในภาวะที่บ้านเมืองต้องการสร้างกระบวนการยุติธรรมให้มีความเข็มแข็ง จึงต้องอาศัยกระบวนการสื่อสาร ราชการทำอะไรประชาชนต้องรับรู้ เข้าใจ ไม่ใช่ทุกอย่างอยู่ในแดนสนธยา
“การใช้พลังสังคมในการเปลี่ยนค่านิยม ความคิด รวมทั้งสร้างจิตสำนึกใหม่ จะต้องเริ่มที่การผลักดันให้สังคมตระหนักว่า คนดี ซื้อไม่ได้ แต่ต้องลงทุนปลูกฝัง หล่อหลอมขึ้น ถึงจะเป็นคนดี มีความรับผิดชอบ ซื่อสัตย์ มีจิตสาธารณะ รักความเป็นธรรมและรู้จักพอเพียง เพราะขณะนี้สังคมมีความสับสนในเรื่องความถูก ความผิดอย่างมาก เช่น นักศึกษาโกงข้อสอบ จะรู้สึกเสียใจมากที่โดนจับได้ แต่กลับไม่รู้สึกเสียใจว่าการกระทำของตนเองเป็นสิ่งผิด ดังนั้น เราจึงต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้กับบุคคล เพื่อต่อต้านกับสิ่งที่ไม่ดี”
ทั้งนี้ เลขาธิการองค์กรเพื่อความโปร่งใสฯ กล่าวด้วยว่า พลังสังคม การมีส่วนร่วมนับเป็นเรื่องดี แต่ไม่ใช่ยาวิเศษหรือยาสารพัดนึกที่จะแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง เพราะสิ่งสำคัญของการมีส่วนร่วมอยู่ที่การมีสติ มีคุณธรรม รวมทั้งการขับเคลื่อนพลังสังคมสู่ความมีวิจารญาณ มีขีดความสามารถและสมรรถภาพในเชิงวิเคราะห์ ไม่ใช่ใช้การมีส่วนร่วมเป็นข้ออ้างในการละเมิดกฎหมายหรือสิทธิผู้อื่น
ขณะที่รศ.วุฒิสาร กล่าวถึงปัญหาของกระบวนการยุติธรรมไทยว่า มีสัญญาณสะท้อนทั้งในเรื่องความรู้สึกและความเป็นจริง ซึ่งบางครั้งก็พบว่าสวนทางกัน คนที่ชนะคดีก็บอกว่ายุติธรรม ส่วนคนที่แพ้ก็รู้สึกว่าไม่เป็นธรรม กระบวนการยุติธรรมปฏิบัติเป็นสองมาตรฐาน ซึ่งสัญญาณดังกล่าวผู้ที่ มีหน้าที่รับผิดชอบต้องเข้าไปดูแล รับรู้ถึงสาเหตุที่คนไม่เคารพกฎหมาย รวมถึงความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายที่ลดลง เพราะหากปล่อยทิ้งไว้สุดท้ายกฎหมายจะไม่สามารถบังคับใช้ได้
“ขณะที่สัญญาณอีกประการหนึ่งคือ การเข้าถึงความยุติธรรมที่แตกต่าง โอกาสของคนจนในการจ้างทนาย กระบวน การยุติธรรมราคาแพง ล่าช้า รวมทั้งช่องว่างระหว่างผู้รู้และไม่รู้กฎหมาย เนื่องจากบ้านเราตั้งสมมุติฐานว่า ทุกคนต้องรู้กฎหมาย ทำให้เกิดช่องทางในการได้เปรียบและเสียเปรียบตามมา”
รศ.วุฒิสาร กล่าวถึงการขับเคลื่อนพลังสังคมกับการพัฒนากระบวนการยุติธรรมที่ยั่งยืนว่า กระบวนการยุติธรรมต้องเป็นกระบวนการที่มีภูมิต้านทาน ไม่มีหวั่นไหวต่อการเปลี่ยนแปลง ระบบต้องมีความมั่นคง เป็นที่พึ่งของสังคมได้ ดังนั้นกระบวนการยุติธรรมที่ยั่งยืนจึงต้องมีประสิทธิภาพ สร้างความยุติธรรมได้โดยเร็ว รวมถึงมีความสามารถในการปรับตัวตามบริบทของสังคม ทั้งในเชิงข้อมูลและวิธีการทำงาน
“การปฏิรูปให้กระบวนการยุติธรรมเข้าถึงได้ ต้องไม่ทำให้เป็นห้องมืด หรือมองไม่เห็น ต้องทำให้คนเห็นโปร่งใส มีมาตรฐาน ประการสำคัญ ความยุติธรรมจะยั่งยืนได้ต้องเป็นกระบวนการที่ไม่กินตัวเอง ไม่ทำให้คนเสื่อมศรัทธา หรือรู้สึกว่าถูกแทรกแซง เพราะฉะนั้น การเฝ้าระวังกันเองในกระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่กระบวนการป้องกัน จับ ปราบปราม การพิจารณา เพื่อทำให้กระบวนการไม่บิดเบี้ยวจึงเป็นเรื่องสำคัญ อีกทั้งจะต้องให้ความรู้แก่กลุ่มบุคคลขาเข้า เพื่อจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของกระบวนการยุติธรรม ขณะที่กลุ่มคนขาออกจะต้องมีกระบวนการฟื้นฟู สร้างทักษะอาชีพ รวมทั้งผลักดันให้สังคมยอมรับกลุ่มคนดังกล่าวด้วยเช่นกัน”
ส่วนพลังทางสังคมจะเข้ามาช่วยเสริมกระบวนการยุติธรรมได้อย่างไรนั้น รศ.วุฒิสาร กล่าวว่า พลังทางสังคมจะต้องเข้ามามีส่วนในการป้องกัน การส่งเสริม พัฒนาฟื้นฟู รวมถึงยอมรับคนที่เคยกระทำความผิดกลับสู่สังคม โดยพลังทางสังคมจะต้องช่วยสร้างสถานะความเท่าเทียมให้มากขึ้น รวมทั้งครอบคลุมไปถึงเรื่องความรู้อีกด้วย นอกจากนี้จะต้องมีการสร้างค่านิยม เรื่องความซื่อสัตย์สุจริต เคารพกฎหมาย การมีส่วนร่วมของประชาชน โดยคิดถึงประโยชน์ของคนส่วนใหญ่เป็นหลัก ตลอดจนสร้างกลไกการควบคุมทางสังคม ปฏิเสธคนโกง สนับสนุนคนดี
ด้านนางสุนี กล่าวว่า กฎหมายเป็นข้อต่อของความยุติธรรม หากเกิดความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับชาวบ้าน ก็ผลักภาระไปสู่ศาลทันที ขณะเดียวกันศาลก็พิจารณาคดีไปตามตัวบทกฎหมาย เป็นแต่เพียงผู้ทำหน้าที่ปลายทางเท่านั้น กระบวนการยุติธรรมก็ไม่อาจอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชนได้
“อีกทั้งกฎหมายมีการอ้างถึงหลักการมีส่วนร่วมของประชาชน เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าชื่อร่างกฎหมายได้ แต่ที่ผ่านมาประชาชนกลับไม่ได้มีส่วนร่วมที่แท้จริง กฎหมายที่ประชาชนล่ารายชื่อก็ค้างการพิจารณามานาน ไม่รู้ลูกผีลูกคน หรือบางฉบับก็มีการปรับแก้ กระทั่งเนื้อหาไม่เป็นไปตามที่ประชาชนเสนอ ดังนั้น ความไม่เป็นธรรม จะต้องได้รับการคลี่คลาย” นางสุนี กล่าว และว่า กระบวนการยุติธรรมต้องเร่งสะสางกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ รวมทั้งเรื่องที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ การกระจายอำนาจและสวัสดิการสังคม เพราะที่ผ่านมากระบวนการยุติธรรมถูกออกแบบไว้อย่างสลับซับซ้อน ถึงเวลาที่ต้องปรับกระบวนการยุติธรรมให้มีความยั่งยืน โดยใช้วิธีการยอมรับการตรวจสอบทุกระดับ
“การขับเคลื่อนพลังสังคมสู่การพัฒนากระบวนการยุติธรรมที่ยั่งยืน”
(Public Involvement in Sustainable Development of the Justice System)
พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดการประชุมทางวิชาการระดับชาติว่าด้วยงานยุติธรรม ครั้งที่ ๙ เรื่อง“การขับเคลื่อนพลังสังคมสู่การพัฒนากระบวนการยุติธรรมที่ยั่งยืน” (Public Involvement in Sustainable Development of the Justice System) ระหว่าง ๓๐ - ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๔ ที่ศูนย์การประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี
นิทรรศการ "รัฐ-ราษฎร์ สัมพันธ์ เพื่อกระบวนการยุติธรรมที่ยั่งยืน"