- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ผอ.ทรัพยากรมนุษย์ มธ. ให้ 'A' นโยบายรัฐบาลเอาใจ ปชช. สอบตกพัฒนาคน
ผอ.ทรัพยากรมนุษย์ มธ. ให้ 'A' นโยบายรัฐบาลเอาใจ ปชช. สอบตกพัฒนาคน
ผอ.สถาบันทรัพยากรมนุษย์ มธ.ชี้นโยบายรัฐบาล ขาดการคิดรอบคอบ มองไม่ทะลุ และยังขาดในเรื่องการพัฒนาคน พร้อมแนะต้องให้เกิดการบูรณาการ อย่าทำงานเชิงเดี่ยว ด้าน “นิพนธ์” ฝากรัฐบาลแจงรายละเอียดโครงการจำนำข้าวเพื่อความโปร่งใส
วันที่ 18 กันยายน ศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาผู้บริหารทางธุรกิจแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (CONC Thammasat) ร่วมกับ สถาบันทรัพยากรมนุษย์ จัดการสัมมนา เรื่อง “นโยบายรัฐบาลกับทิศทางประเทศไทย” ณ ชั้น 3 อาคารธรรมศาสตร์ 60 ปี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยมี รศ.ดร.พิภพ อุดร ผอ.สถาบันทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และรศ.ดร. นิพนธ์ พัวพงศกร ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ร่วมเสวนา
รศ.ดร.พิภพ ให้คะแนนนโยบายรัฐบาล 'A' ด้านการเอาใจ 'F' ด้านพัฒนา พร้อมกล่าว และว่า นโยบายรัฐบาลชุดนี้ หลายเรื่องเป็นเรื่องที่ดี แต่บางเรื่องยังคงขาดโครงการที่เป็นรูปธรรม และหลายงานมีโครงการเป็นรูปธรรมแต่มีการคิดที่ไม่ทะลุ และขาดการเชื่อมโยงแบบบูรณาการกัน แต่เรื่องที่ไม่มีในนโยบายของรัฐบาลเลย หรือมีน้อยมาก นั่นคือทิศทางในการพัฒนาคน
“เรามุ่งเน้นที่จะเป็นครัวของโลก เป็นศูนย์กลางประชาคมอาเซียน เราอยากให้กรุงเทพฯ เมืองแฟชั่น แต่ไม่ได้คำนึงถึงคนที่จะมารองรับสิ่งเหล่านี้ ในอีก 10 ปี จากนี้ไป สต็อคของคนในภาคต่างๆ ในความสามารถต่างๆของไทย ควรเป็นอย่างไร เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะนโยบายทั้งหมดจะทำไม่ได้เลย หากไม่มีกำลังคนที่มีศักยภาพในสาขาด้านที่ต้องการจะทำ”
ผู้อำนวยการสถาบันทรัพยากรมนุษย์ มธ. กล่าวอีกว่า ประเทศไทยไม่ควรอยากเป็นทุกเรื่อง ทำทุกอย่าง ซึ่งสามารถคิดได้ แต่จะทำได้หรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งสิ่งที่มีศักยภาพและทำได้ ในนโยบายรัฐบาลที่มีอยู่ในปัจจุบันนั้นมีอยู่ แต่ต้องจัดเป็นแพ็คและเชื่อมโยงให้เกิดบูรณาการ
“เกษตร อุตสาหกรรม ท่องเที่ยว และคมนาคม ต้องจับมือกัน และทำให้เกิดการบูรณาการ อย่าทำงานแบบเชิงเดี่ยวต้องรวมกันและผลักดันให้ประเทศมุ่งไปในทิศทางนี้อย่างแท้จริง”
นอกจากนี้ รศ.ดร.พิภพ ยังพูดถึงเรื่องนโยบายการศึกษาด้วยว่า การคิดแต่เพียงว่าจะขจัดความไม่รู้หนังสืออย่างเดียวนั้นไม่พอ ต้องยกระดับศักยภาพด้วย ทั้งนี้ตนขอให้ยกเลิก กรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ หรือ TQF เพราะจะเป็นการทำให้มหาวิทยาลัยของไทยที่มีทั้งระดับ สูง กลาง ต่ำ ให้กลายเป็น มหาวิทยาลัยในระดับชั้นกลางเท่าเทียมกันหมด ซึ่งการเป็นอะไรกลางๆ คืออาชญากรรมที่ร้ายแรงที่สุดในวงการศึกษา
“ถ้าอยากให้การศึกษาก้าวไปข้างหน้า ต้องมีการยกเลิกการศึกษาแบบเหมาโหลที่ทุกมหาวิทยาลัยทำเหมือนกันหมด ต้องปล่อยให้เกิดความแตกต่างเพื่อให้เกิดความงอกงามทางสติปัญญา ให้เกิดการพัฒนาในด้านต่างๆ เพราะวิธีคิดการศึกษาแบบเหมาโหลนั้นเป็นการทำลายการศึกษา เพราะการศึกษาเป็นเรื่องใหญ่ของการพัฒนาคน ขอให้ให้คุณค่าความแตกต่างอย่างงดงาม”
ขณะที่รศ.ดร.นิพนธ์ กล่าวถึงนโยบายของรัฐบาลที่ออกมาเป็นนโยบายที่มีแบรนด์เนม จะเอาสินค้าอย่างอื่นมาขายไม่ได้ ต้องใช้แบรนด์เนมของตนเองมาขาย ทั้งที่รู้ว่าแบรนด์บางตัวหรือนโยบายบางตัว ถึงแม้จะรู้ว่าแบรนด์นั้นจะไม่ดี แต่ก็ยังบังคับใช้ ซึ่งตนเชื่อว่าทางรัฐบาลรู้ว่า มีผลกระทบ แต่ก็ยังคงที่จะใช้แบรนด์นี้ต่อไป
“ไม่เชื่อว่าทางรัฐบาลจะไม่รู้ถึงผลกระทบต่างๆที่จะเกิดขึ้น จึงต้องตั้งคำถามว่าทำไมถึงยังอยากทำนโยบายที่จะสร้างความเสียหายให้กับอนาคตข้าวไทย ซึ่งผู้ที่ได้รับความเสียหายก็คือเกษตรกรและผู้เสียภาษี”
รศ.ดร.นิพนธ์ กล่าวถึงนโยบายจำนำข้าวว่า สิ่งที่น่าวิตกมากที่สุดของนโยบายจำนำข้าวคือ รัฐอาจมีการจัดตั้งบริษัทผู้ขาดการขายข้าวเพื่อประโยชน์ต่อนักการเมืองบางคน ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นจริง ก็ต้องเป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช. ที่ต้องเข้าไปตรวจสอบถึงเบื้องลึกเบื้องหลัง แต่ถ้าหากเป็นไปได้ก็ไม่ควรที่จะเกิด
“ฝากถึงรัฐบาลว่า ในสิ้นปีนี้ขอให้มีการเปิดเผยตัวเลขข้อมูลให้มีการดำเนินงาน ค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น ทั้งกำไร และขาดทุน แล้วแถลงต่อรัฐสภา เนื่องจากที่ผ่านมาข้อมูลของโครงการรับจำนำข้าว ไม่มีความโปร่งใสเลย”