หญิงแกร่งเปิดใจสู้คดีสรรพากรไล่บี้เก็บภาษี235บ.ถึงฏีกา เหตุต้องการรักษาความถูกต้อง
รองประธานคณะกรรมการกฎหมายของสภาหอการค้าไทย ยันการเสียภาษีต้องให้ประชาชนเสียภาษีด้วยความเต็มใจ ขณะเดียวกันจนท. ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้อง ยึดกฎหมายเป็นหลัก
จากกรณี ฎีกาตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมายคดี (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6220/2549) ที่นางศิรินันท์ ศันสนาคม (โจทก์) ยื่นฟ้องจำเลย (กรมสรรพากร) แจ้งการประเมินให้โจทก์ชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษี 2542 เพิ่มอีก 235.88 บาท เงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือน ที่คำนวณถึงวันที่ 30 เมษายน 2545 อีก 88.50 บาท
โจทก์อุทธรณ์คัดค้านการประเมิน แต่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้ยกอุทธรณ์ขอให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าว
จำเลย (กรมสรรพากร) ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 300 บาท
ต่อมาจำเลย (กรมสรรพากร) อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า กรณีที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์จึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 200 บาท แทนโจทก์นั้น
คดีนี้ถือเป็นกรณีตัวอย่าง ที่กรมสรรพากรตามไล่เก็บภาษีจากชาวบ้าน ไม่ว่าจำนวนเงินจะมากน้อยขนาดไหน ก็ต้องสู้กันถึงศาลฎีกา ซึ่งในที่สุดชาวบ้านเป็นฝ่ายชนะคดี
นางศิรินันท์ ศันสนาคม รองประธานคณะกรรมการกฎหมายของสภาหอการค้าไทย ให้สัมภาษณ์กับ “ศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทย” ถึงการต่อสู้คดีนี้จนถึงที่สุดว่า เพื่อความถูกต้องของกฎหมาย และที่ต้องยอมเสียค่าทนายความเป็นเงินจำนวนมาก เพราะตนเองเป็นนักกฎหมาย หากยอมก้มหน้าก้มตารับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ก็คงทำไมได้
“อธิบดีกรมสรรพากรท่านหนึ่งเคยกล่าวว่า การเสียภาษีต้องให้ประชาชนเสียภาษีด้วยความเต็มใจ และเจ้าหน้าที่สรรพากรต้องปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้อง ฉะนั้นควรมีการอบรมสรรพากรทุกแห่งว่า มีหน้าที่ที่ต้องทำให้ประชาชนเข้าใจและให้ประชาชนเสียภาษีอย่างถูกต้อง”
นางศิรินันท์ กล่าวด้วยว่า ในหลักการแล้ว คำสั่งที่ไม่ชอบนั้นต้องทำให้ชัดเจน ให้มีความเข้าใจในการทำงาน และมีการปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง และถ้าหากมีการขยายความเกินกฎหมายย่อมทำไม่ได้ ต้องเอากฎหมายเป็นหลัก เพราะไม่เช่นนั้นการบริหารประเทศจะเกิดความวุ่นวายเกิดขึ้น