- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ศ.ดร.อักขราทร บอกเบื่อที่จะได้ยินคำว่า 'ตุลาการภิวัฒน์'
ศ.ดร.อักขราทร บอกเบื่อที่จะได้ยินคำว่า 'ตุลาการภิวัฒน์'
"อดีต ปธ.ศาลปกครองสูงสุด" ชี้คดีเข้าสู่ศาลปกครองน้อยลง หาก จนท.รัฐปฏิบัติตามมติ ครม. โทษความล่าช้าในการพิจารณาคดี เป็นผลพวงจาก 'ดีเอ็นเอ' ที่ฝังอยู่ที่คนทำหน้าที่ทางกฎหมาย เชื่อต้องใช้เวลา กว่าจะปรับเปลี่ยนได้สำเร็จ
วันที่ 20 กันยายน ศาลปกครอง จัดการเสวนา “กว่าจะเป็นศาลปกครอง” ในโอกาสครบทศวรรษเปิดทำการศาลปกครองและในโอกาสเปิดพิพิธภัณฑ์ศาลปกครอง ณ อาคารศาลปกครอง แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ โดยในช่วงแรกของงาน ดร.หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นประธานในการเปิดพิพิธภัณฑ์ พร้อมนำคณะผู้ร่วมงานและสื่อมวลชนเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์
จากนั้นมีการเสวนา “ร้อยเรื่องราว กล่าวขาน ศาลปกครอง” โดย ศ.ดร.อักขราทร จุฬารัตน ที่ปรึกษาในศาลปกครองสูงสุด และอดีตประธานศาลปกครองสูงสุด ดร.ชาญชัย แสวงศักดิ์ ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองสูงสุด และอดีตเลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง ร่วมเสวนา
ศ.ดร.อักขราทร กล่าวว่า นักกฎหมายและคนทั่วไปคุ้นเคยกับการฟ้องร้องคดีความทางแพ่ง ทางอาญา ชินอยู่กับวิธีพิจารณาคดีดังกล่าวที่ปล่อยให้ทนายแสดงโวหาร ต่อสู้กันไปกันมา เพราะถือว่าทั้งสองฝ่ายมีความเท่าเทียมกัน ส่วนคดีปกครองนั้นพึ่งจะเกิดขึ้นในรัฐสมัยใหม่ (Model state) เนื่องจากแต่เดิมนั้นรัฐสามารถทำอะไรที่คิดว่า ดี โดยไม่มีใครสามารถโต้แย้งได้ แต่รัฐสมัยใหม่ ทุกคนต้องอยู่ภายใต้นิติธรรมนิติรัฐและภายใต้อำนาจที่กฎหมายให้ไว้ ดังนั้น เจ้าหน้าที่รัฐจะทำอะไร 'เลอะเทอะ' ไม่ได้ แต่จะต้องอยู่บนฐานอำนาจของกฎหมาย เพราะฉะนั้น จึงมีหลักในการตรวจสอบความชอบการกระทำของฝ่ายบริหารขึ้นมา นั่นคือ ศาลปกครอง ซึ่งเป็นองค์กรอิสระ
“ขณะเดียวกันเมื่อชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่รัฐมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ศาลจึงต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญในการแสวงหาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเพิ่มเติมจากที่คู่กรณีนำเสนอ หรือในกรณีที่คดีมีความตรงไปตรงมาในประเด็นด้านข้อกฎหมายแล้ว กระบวนการพิจารณาก็จะต้องเป็นไปอย่างรวดเร็ว”
สำหรับความล่าช้าในการใช้กฎหมาย ศ.ดร.อักขราทร กล่าวว่า ส่วนหนึ่งโทษได้ว่า เป็นผลพวงจาก 'ดีเอ็นเอ' ที่ฝังอยู่ที่คนทำหน้าที่ในทางกฎหมาย ซึ่งหากจะปรับเปลี่ยนให้สำเร็จ 100% ก็คงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ปัญหาดังกล่าว นอกจากประเทศไทยแล้ว ประเทศทั่วโลกก็กำลังเผชิญอยู่เช่นกัน ซึ่งบ้านเราขณะนี้ก็มีความพยายามปรับปรุงตลอดเวลา
ศ.ดร.อักขราทร กล่าวต่อว่า กฎหมายรัฐทุกฉบับที่ออกมา หากมีการใช้อำนาจไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือสิ่งที่ต้องปฏิบัติถูกละเลย มีความล่าช้าเกินสมควร รวมถึงมีการกระทำที่ละเมิด คดีที่เข้ามาสู่ศาลปกครองก็จะถูกพิจารณาอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ได้เห็นว่าคดีใดสำคัญกว่ากัน
“ที่ผ่านมาการใช้อำนาจของรัฐ ไม่มีการตรวจสอบ ทำให้การใช้อำนาจอาจเกินเลยไปได้ แต่เมื่อมีศาลปกครองก็ทำให้บ้านเราดีขึ้น ส่วนวิธีที่จะไม่ให้คนฟ้องร้องคดีในเรื่องที่ไม่จำเป็นนั้น ตนเห็นว่า หากคณะรัฐมนตรีมีมติ เรื่องใดแล้วมีการนำไปปฏิบัติก็จะทำให้คดีลดน้อยไปได้ 10%"
ศ.ดร.อักขราทร กล่าวถึงการสร้างนักกฎหมายของไทยว่า ประเทศไทยรับวิธีการมาจากประเทศอังกฤษ แต่การสร้างนักกฎหมายของแต่ละชาติย่อมเป้าหมายที่ต่างกัน ซึ่งในบ้านเรานั้นไม่เน้นว่า ‘ตุลาการ’ ต้องเป็นนักกฎหมายเท่านั้น แต่จะต้องเป็นผู้ที่ความรู้ความเข้าใจ มีประสบการณ์ในการบริหารราชการแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นนักเศรษฐศาสตร์ นักรัฐศาสตร์ก็ตาม เพราะในความเป็นจริงคดีหนึ่งๆ ก็มีปัญหาทั้งเรื่องเศรษฐกิจ การเงินการคละเคล้ากันอยู่ แต่สิ่งสำคัญคือผู้พิพากษาเองจะต้องไม่มีอัตตาที่สูงเกินไป จะได้เปิดใจและมองทุกอย่างอย่างมีเหตุผล เพื่อรับฟังความคิดเห็นที่ตนเองรู้หรือรู้น้อยกว่า ทั้งที่ การพิจารณาตัดสินของศาล จะต้องคำนึงถึงความถูกต้อง ยุติธรรม ซึ่งสิ่งที่ยากที่สุดในการทำหน้าที่ตุลาการศาล คือ การสร้างดุลระหว่างสิทธิ ประโยชน์ของประชาชนที่ถูกกระทบกระเทือนกับประโยชน์สาธารณะ
ศ.ดร.อักขราทร กล่าวถึงนโยบายของรัฐในเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายว่า หากนโยบายใดของรัฐก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมแล้ว ผู้ที่ได้รับผลกระทบหรือเห็นว่าไม่เป็นธรรมสามารถฟ้องร้องได้ โดยใช้กลไกทางกฎหมาย ซึ่งคำตัดสินของศาลนั้น จะต้องสามารถอธิบาย ให้เหตุผลที่ชัดเจนว่า ทำไมผลถึงเป็นเช่นนั้น
ทั้งนี้ ศ.ดร.อักขราทร กล่าวด้วยว่า ปัญหาอย่างหนึ่งของประเทศไทยคือการใช้และตีความกฎหมาย ซึ่งเบื่อที่จะได้ยินคำว่า 'ตุลาการภิวัฒน์' เพราะความรู้สึกที่ว่า พวกตุลาการ โดยเฉพาะศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินคดีเหลื่อมล้ำเข้าไปในอำนาจของฝ่ายบริหาร ซึ่งนั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะในเรื่องคดีปกครองไม่มีหลักกฎหมายที่ชัดเจน เพียงแต่มีตัวบทที่กำหนดอำนาจหน้าที่ให้ ขณะที่การตีความบทบัญญัติเป็นเรื่องของศาล เพราะฉะนั้นสิ่งที่ใช้เป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ไม่เหมือนกับสิ่งที่เคยเห็นในช่วงที่ผ่านมาเท่านั้น
ขณะที่ ดร.ชาญชัย กล่าวถึงการมีศาลปกครอง ไม่ใช่เรื่องของการมีอาคาร แต่เป็นเรื่องของคน ซึ่งเป็นปัญหาสืบเนื่องมาจากการศึกษาในบ้านเรา ที่ผลิตคนเข้ามาป้อนกระบวนการทางแพ่งทางอาญา แต่ไม่ได้ผลิตคนมารองรับคดีทางปกครอง ซึ่งแม้ศาลปกครองในหลายประเทศจะกำหนดว่า ตุลาการต้องเป็นนักกฎหมายเท่านั้น แต่ขณะเดียวกันในอีกหลายประเทศอย่างเบลเยี่ยม ฝรั่งเศส ก็เห็นว่า ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเฉพาะนักกฎหมายอย่างเดียว ซึ่งในประเทศไทยนั้น ตุลาการไม่ได้มาจากนักกฎหมายอย่างเดียว แต่มีนักบริหาร นักรัฐศาสตร์ เข้ามาเป็นตุลาการร่วมด้วย ซึ่งตามกฎหมายกำหนดไว้ว่า นอกจากนักกฎหมายแล้ว จะผู้คุณวุฒิไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ที่มีจากสาขาอื่น สิ่งเหล่านี้จึงเป็นที่มาที่ไปของตุลาการศาลปกครอง
ทั้งนี้ ดร.ชาญชัย กล่าวต่อว่า ในคดีปกครองเป็นเรื่องประโยชน์ส่วนตัวกับประโยชน์สาธารณะ ศาลปกครองจะเป็นหลักประกันและที่พึ่งในการพิจารณาคดี ขณะที่คำวินิจฉัยดังกล่าวจะเป็นบรรทัดฐานให้แก่หน่วยงานต่างๆ นำไปปฏิบัติตาม