- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- “เอ็นจีโอ” หนุนแนวคิด ก.ล.ต. ตั้งกองทุนรวมลดก๊าซเรือนกระจก
“เอ็นจีโอ” หนุนแนวคิด ก.ล.ต. ตั้งกองทุนรวมลดก๊าซเรือนกระจก
“บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์” เผย ‘คาร์บอน ฟันด์’ เครื่องมือดี หนุนภาคธุรกิจลดโลกร้อน แนะ หน่วยงานรัฐ ส่งเสริมโครงการลดก๊าซเรือนกระจก หวังสร้างคาร์บอนเครดิต ดึงเม็ดเงินลงทุน
นายบัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ ผู้อำนวยการสถาบันธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม (GSEI) กล่าวถึงแนวคิดเรื่องการจัดตั้งกองทุนรวมเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก (Carbon fund) ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ว่า ในหลักการแล้ว ถือเป็นแนวคิดที่เป็นประโยชน์ เพราะเป็นกลไกที่ช่วยรองรับการลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งในอนาคตมีแนวโน้มที่จะต้องรับภาระเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันกลไกดังกล่าวยังเป็นเครื่องมือส่งเสริมให้ภาคธุรกิจเข้ามาช่วยลดก๊าซเรือนกระจก
สำหรับนโยบายของกองทุนฯ ที่กำหนดให้มีการลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการลดก๊าซเรือนกระจกไม่ต่ำกว่า 85% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) นั้น นายบัณฑูร กล่าวว่า เห็นด้วยกับเกณฑ์ดังกล่าว เพราะเป็นเงื่อนไขที่จะทำให้กองทุนฯ พุ่งเป้าไปที่เรื่องสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่เพื่อแสวงหากำไร แต่ทั้งนี้ สิ่งที่จำเป็นต้องมีความต่อเนื่องคือ กิจกรรม โครงการต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น สำหรับรองรับการลงทุนให้เป็นไปตามเงื่อนไข 85% ดังกล่าว
“ขณะนี้ในบ้านเรามีโครงการเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกอยู่ประมาณ 300 โครงการ ซึ่งถือว่า น้อย หากต้องการให้มีการซื้อขายได้จริง จนเกิดเป็นกำไร ทั้งนี้ เนื่องจากโครงการกลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanism: CDM) ส่วนใหญ่ไปติดคอขวดอยู่ที่การตรวจสอบของสหประชาชาติ ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นปัญหาที่ประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญ” นายบัณฑูร กล่าว และว่า การจัดตั้งกองทุนฯ จะช่วยให้โครงการและกิจกรรมเกี่ยวกับการลดก๊าซเรือนกระจกขยายตัว เพราะที่ผ่านมาบริษัท ธุรกิจ รวมทั้งโรงงานต่างๆ มักพบปัญหาติดขัดสถาบันการเงินไม่ค่อยปล่อยเงินกู้ในนำเงินมาการลงทุนทำโครงการ CDM
นายบัณฑูร กล่าวต่อว่า การจัดตั้งกองทุนฯ ดังกล่าวนั้น สิ่งสำคัญประการหนึ่งคือการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับที่มาและความสำคัญในการจัดตั้งกองทุนฯ โดยจะต้องประชาสัมพันธ์ให้ทุกภาคส่วนรับรู้ ขณะเดียวกัน สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม (สผ.) และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ก็ต้องเข้ามาส่งเสริมให้เกิดกิจกรรม โครงการเกี่ยวกับการลดก๊าซเรือนกระจก เพื่อสร้างคาร์บอนเครดิตและก่อให้เกิดการลงทุนได้ตามเงื่อนไข เพราะการหวังรอแต่ CDM อย่างเดียวนั้นจะกลายเป็นข้อจำกัดในการจัดตั้งกองทุนฯ และการลงทุนต่างๆ
ทั้งนี้ นายบัณฑูร กล่าวด้วยว่า คาร์บอนเครดิต เป็นกลไกเล็กในภาพใหญ่ เนื่องจากคาร์บอนเครดิตเป็นเพียงเครื่องมือเสริม ขณะที่ตัวหลักคือ การลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง โดยแหล่งกำเนิดต่างๆ นั้นจะต้องพยายามลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยตนเองเสียก่อน หากมีข้อจำกัดจึงนำเครื่องมือทางตลาด เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์เข้าไปเสริม ดังนั้น ตนจึงเห็นว่า ควรมีข้อจำกัดและเพดานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกำหนดไว้ด้วย เช่น โรงงานแห่งหนึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจก 100 ตัน ก็ควรต้องปรับลดลงประมาณ 60% จากนั้นนำคาร์บอนเครดิตเข้ามาเสริมอีก 10% เพื่อให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดประมาณลงถึง 70%
“นอกจากนี้ หากจะให้เกิดผลดียิ่งขึ้น อาจต้องมีการกำหนดประเภทของกิจการที่เข้าไปลงทุน โดยมุ่งไปที่ภาคอุตสาหกรรมอันดับแรก เนื่องจากพบว่ามีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่าภาคการเกษตรกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมภาคพลังงาน ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุด” นายบัณฑูร กล่าว และว่า ทั้งนี้ หากในอนาคตประเทศไทยมีตัวเลขที่ชัดเจนแล้วว่า จะต้องลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงเท่าใด ก็จะสามารถกำหนดได้ว่า เราจะขายคาร์บอนเครดิตให้กับธุรกิจภายในประเทศและต่างประเทศสัดส่วนมากน้อยเพียงใด
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ก.ล.ต. ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดตั้งและจัดการกองทุนรวมเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก (Carbon fund) ซึ่งเป็นกองทุนฯ ที่มีแนวคิดให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน (บลจ.) สามารถจัดตั้งกองทุนที่ลงทุนเกี่ยวกับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน เพื่อเสนอขายแก่ผู้ลงทุนสถาบันใน 2 รูปแบบ นั่นคือ 1.กองทุนคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit Fund) คือ กองทุนเพื่อผู้ถือหน่วยลงทุนที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน โดยจะได้รับผลประโยชน์ในรูปแบบคาร์บอนเครดิต และ 2.กองทุนคาร์บอนทั่วไป (General Carbon Fund) คือ กองทุนเพื่อผู้ถือหน่วยลงทุนซึ่งรับกำไร/ขาดทุนจากการลงทุนเป็นเงินสด
“โดยกองทุนทั้ง 2 รูปแบบดังกล่าว มีนโยบายการลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการลดก๊าซเรือนกระจกเป็นหลักไม่ต่ำกว่า 85% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) และลงทุนเกี่ยวกับการลด carbon credit ในประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 65% ของ NAV”
ทั้งนี้ มีรายงานด้วยว่า การรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนฯ ดังกล่าว ดำเนินการแล้วเสร็จไปแล้วเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2554 ที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการประมวลผล โดยคาดว่าประมาณกลางเดือนตุลาคมนี้จะได้ข้อสรุปที่ชัดเจน ซึ่งทาง ก.ล.ต. จะแถลงข่าวและเผยแพร่ให้ทราบอีกครั้ง