- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- นายกฯ มอบนโยบาย 8 ประการ “พัฒนาระบบราชการ” เน้นทำงานเชิงรุก–ต้านทุจริต
นายกฯ มอบนโยบาย 8 ประการ “พัฒนาระบบราชการ” เน้นทำงานเชิงรุก–ต้านทุจริต
นายกรัฐมนตรี ประกาศลั่น ต่อต้านคอร์รัปชั่นในวงราชการให้ได้ ย้ำ ข้าราชการต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยดี เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน-ความมั่นคงของประเทศ
วันที่ 3 ตุลาคม 2554 นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดจัดการประชุมสัมมนาวิชาการประจำปี 2554 หัวข้อ “สู่ 1 ทศวรรษพัฒนาระบบราชการ” จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ณ หอประชุมกองทัพเรือ กรุงเทพฯ พร้อมมอบนโยบายพัฒนาระบบราชการต่อผู้เข้าร่วมสัมมนา 1,300 คน
นายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งว่า การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี โดยยึดหลักธรรมาภิบาล เพื่อต่อยอดการปฏิรูปราชการตั้งแต่ปี 2545 นั้น รัฐบาลมีนโยบายสำคัญ 8 ข้อไปสู่ภาคปฏิบัติ ดังนี้ 1.ให้บริหารโดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง แก้ไขปัญหาตรงกับความต้องการ ยกระดับการพัฒนาคุณภาพชีวิตโดยสร้างรายได้ให้ประชาชนไปสู่ระดับครัวเรือน เพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ การทำงานต้องเน้นเชิงรุกให้เกิดสะดวกรวดเร็ว ไม่ยุ่งยากซับซ้อน ที่สำคัญข้าราชการต้องเป็นสื่อกลางที่จะนำนโยบายรัฐบาลไปสู่ประชาชน และนำความต้องการของประชาชนแต่ละท้องที่มานำเสนอต่อรัฐบาล เพื่อให้การทำงานสอดคล้อง โดยมีเป้าหมายให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น รวมทั้งสังคมไทยมีความสุข
2.แก้ปัญหาแบบองค์รวมด้วยการบูรณาการ โดยมองการบูรณาการ 2 ช่วง คือระดับนโยบายหรือกลยุทธ์เพื่อให้เกิดความคิดที่สอดคล้อง และนำนโยบายไปสู่ท้องถิ่น หรือผู้ว่าราชการจังหวัดให้ขับเคลื่อนได้ในระดับพื้นที่ เช่น การสนับสนุนการเพิ่มศักยภาพหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ นำภูมิปัญญา ความรู้ชาวบ้านมาใช้ เพื่อนำรายได้กลับสู่ชุมชน โครงการเอสเอ็มแอล หลังปัญหาน้ำท่วมคลี่คลายจะทำอย่างไรให้มีเงินในระบบ เพื่อให้ประชาชนนำเงินกองทุนเอสเอ็มแอลไปปรับวิถีชีวิต สามารถสร้างอาชีพใหม่
3.บูรณาการการทำงานทุกขั้นตอน จะต้องต่อต้านทุจริตคอร์รัปชั่นในวงราชการให้ได้ ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญที่รัฐบาลให้ความสำคัญ เพื่อให้กลไกระบบราชการเป็นที่ยอมรับของประชาชน ทั้งนี้ ขอฝากให้ ก.พ.ร. ไปดำเนินการให้หน่วยราชการตื่นตัวในเรื่องการป้องกันคอร์รัปชั่น
4.ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาบ้านเมือง เพราะการทำงานจะต้องมีการสื่อสารทั้งสองทาง เพื่อให้เกิดความเข้าใจต่อกัน และการแก้ปัญหาจะได้ลุล่วงไปด้วยดี
5.นำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงานให้มากขึ้น ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่า จะนำเทคโนโลยีเข้ามาแทนกำลังคน เพียงแต่นำมาเป็นส่วนเสริมการทำงานเท่านั้น เพื่อให้งานสำเร็จ เช่น สมาร์ทการ์ด ถือเป็นตัวอย่างที่ดีในการรวมศูนย์เชื่อมข้อมูลทุกกระทรวง เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพ
6.การปรับลดบทบาทหน้าที่ของภาครัฐให้เหมาะสม ซึ่งจะต้องมีการถ่ายโอนภารกิจไปให้ภาคเอกชน โดยการจ้างบริษัทภายนอกมาทำงานด้านใดด้านหนึ่งหรือเอาต์ซอร์ส (outsource) แต่หากมีงานใดที่ข้าราชการทำแล้วมีประสิทธิภาพก็อยากให้ทำด้วยตัวเอง หากเกินกำลังและเอกชนทำได้ดีกว่าสามารถมอบให้เอกชนดูแลเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
7.ข้าราชการต้องทำงานเชิงรุก เพื่อเตรียมตัวก้าวสู่เวทีอาเซียน เพราะโลกเปลี่ยนแปลงหลายมิติ ทั้งความมั่นคง เศรษฐกิจที่จะย้ายความเจริญเข้ามาสู่ตลาดเอเชียมากขึ้น ความมั่นคงทางสังคมที่มีผู้สูงอายุมากขึ้นจะทำอย่างไรให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น ความมั่นคงทางด้านอาหารโดยเฉพาะปัญหาน้ำท่วมจะทำอย่างไรให้อาหารปลอดภัย พลังงานจะทำอย่างไรหาพลังงานทดแทนมิตรกับสิ่งแวดล้อม ดังนั้นการทำงานในเชิงรุกจะต้องทำ 2 มิติ คือ ข้าราชการทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด และให้คิดก้าวหน้าว่า อีก 2-3 ปีข้างหน้าจะทำอย่างไรให้ระบบราชการมีความพร้อมทุกมิติ
8.การดูแลข้าราชการ ตนถือโอกาสนี้ให้กำลังใจข้าราชการทุกท่าน โดยเฉพาะปัญหาน้ำท่วมทุกคนต้องทำงานหนัก เพราะเป็นภาระที่ต้องดูแล จึงขอฝาก ก.พ.ร. สร้างขวัญกำลังใจให้กับข้าราชการ ขณะที่การดูแลผลประโยชน์ตอนแทนก็ขอให้สะท้อนการทำงานได้ ซึ่งตนก็พร้อมให้การสนับสนุน เพราะการที่จะส่งมอบความสุขให้กับประชาชนได้นั้น ข้าราชการก็ต้องมีความสุขด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวด้วยว่า ตนขออัญเชิญพระปฐมบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อปี พ.ศ. 2493 ความว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” เพื่อเป็นเป้าหมายในการทำงาน โดยการสร้างความผาสุขและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน
“ในฐานะข้าของแผ่นดินจะต้องร่วมกันแสดงความจงรักภักดี ด้วยการปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยดี เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนและความมั่นคงของประเทศสืบต่อไป ซึ่งตนและคณะรัฐมนตรีทุกท่านพร้อมให้การสนับสนุนการทำงานของข้าราชการทุกคน และทุกภาคส่วน”