- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- “วิชิต สุรพงษ์ชัย” ย้ำชัด ทุกนโยบาย รบ. ต้องวัดผลได้ ไม่ใช่ดีแต่ใช้เงิน
“วิชิต สุรพงษ์ชัย” ย้ำชัด ทุกนโยบาย รบ. ต้องวัดผลได้ ไม่ใช่ดีแต่ใช้เงิน
ปธ.กก.บริหาร ธ.ไทยพาณิชย์ ชี้ นโยบาย รบ.ต้องมีหลักเกณฑ์กำกับ-ใส่เงินแล้วต้องอธิบายได้ หวังตอบโจทย์การลงทุนที่คุ้มค่า ด้าน “ดร.ไพรินทร์” ชมรัฐบาลมีความตั้งใจ ผลักดันเศรษฐกิจให้เดินหน้า
วันที่ 5 ตุลาคม ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ จัดสัมมนาเศรษฐกิจประจำปี หัวข้อ “Thailand: Moving Forward with the New Government” ณ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี รอยัล เมอริเดียน กรุงเทพฯ โดยภายในงานมีการเสวนาเรื่อง “โอกาสของธุรกิจไทย ภายใต้รัฐบาลใหม่” โดย ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหารธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการ กลุ่มน้ำตาลมิตรผล นายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมเสวนา
ราคาพลังงานในปัจจุบัน เดายากยิ่งกว่าล็อตเตอรี่
ดร.ไพรินทร์ กล่าวถึงผลกระทบของวิกฤตเศรษฐกิจในสหรัฐฯ และยุโรปต่อราคาพลังงานในประเทศไทยว่า ผลของสภาพเศรษฐกิจดังกล่าว ทำให้ความต้องการพลังงานในยุโรปลดลง ซึ่งความต้องการพลังงานที่ลดลงนั้น เกิดจากอุปสงค์ (Demand side) และอุปทาน (Supply side) ที่มีปัญหา ทำให้ราคาพลังงานขณะนี้อยู่ท่ามกลางกระแสของการเปลี่ยนและความไม่แน่นอน ราคาพลังงานในปัจจุบันจึงเดายากยิ่งกว่าล็อตเตอรี่ อีกทั้งยังมีความอ่อนไหวมากขึ้นทุกที ดังนั้น เราจึงต้องเตรียมตัวรับกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น ป่วยการที่จะไปคาดเดา เมื่อความผันผวนของราคาพลังงานเป็นสัจธรรม
สำหรับนโยบายของรัฐบาลที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ในช่วงเวลาประมาณเดือนเศษที่ผ่านมานั้น ดร.ไพรินทร์ กล่าวว่า ต้องบอกว่า รัฐบาลนี้เป็น pro-business government เนื่องจากจะเห็นว่า ในหลายเรื่องมีความตั้งใจที่จะผลักดันเศรษฐกิจให้เดินหน้า ขณะเดียวกันในหลายเรื่องที่ทำไป เช่น เงินเดือน 15,000 บาท หลายคนอาจมองว่าเป็นนโยบายประชานิยม แต่จำได้ว่าเมื่อ 20-30 ปีก่อนรัฐบาลญี่ปุ่นก็เคยทำเช่นนี้ ซึ่งขณะนี้ก็พบว่า เศรษฐกิจของญี่ปุ่นเดินไปข้างหน้า ในบ้านเราก็ต้องรอดูจะประสบความสำเร็จเช่นในญี่ปุ่นหรือไม่เท่านั้น แต่ความคิดที่จะ Kick start Economy โดยการอัดฉีดทางนโยบายการเงินลักษณะดังกล่าว ก็น่าจะแนวทางที่รัฐบาลกำลังอยู่
“ส่วนนโยบายภาคพลังงาน ที่กำลังดำเนินการลอยตัวพลังงานอยู่ในขณะนี้ ถือเป็นแนวทางที่ถูกต้อง สอดคล้องกับความเป็นไปของระบบเศรษฐกิจ การลอยตัวจึงสะท้อนตัวเลขพลังงานที่แท้จริง ขณะเดียวกันยังเป็นตัวส่งสัญญาณให้ภาคธุรกิจเริ่มแข่งขัน บังคับให้ภาคธุรกิจต้องแข่งขัน เพื่อแย่งชิงตลาดที่ใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเปิดประชาคมอาเซียน ดังนั้น นโยบายของรัฐบาลในส่วนของภาคพลังงาน จึงเป็นไปในทิศทางที่ดี” ดร.ไพรินทร์ กล่าว และว่า ทั้งนี้ การอุดหนุนพลังงานสำหรับคน 60 ล้านคนนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เมื่อก้าวสู่ประชาคมอาเซียนแล้วต้อง อุดหนุนคน 600 ล้านคนเชื่อว่า ไม่ว่าจะรัฐบาลใดก็ไม่มีกระเป๋าพอที่จะจ่าย ฉะนั้น เวลาอีก 3 ปีที่เหลือจึงต้องรับสภาพตลาดการแข่งขัน
วิกฤตเศรษฐกิจโลก ไม่กระทบส่งออกอาหาร
ขณะที่นายอิสระ กล่าวถึงวิกฤตเศรษฐกิจในสหรัฐและยุโรป ไม่มีผลกระทบต่อการส่งออกอาหารมากนัก เพราะกลุ่มประเทศดังกล่าวไม่ใช่ตลาดส่งออกของบ้านเรา แต่สิ่งที่เป็นห่วงคืออัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งจะกระทบต่อต้นทุนการผลิตอาหาร สำหรับภาคเกษตร โดยเฉพาะตลาดอ้อยและน้ำตาล ไทยถือเป็นผู้ส่งออกอันดับสองของโลก รองจากบราซิล ซึ่งขณะนี้บราซิลมีต้นทุนการผลิตที่สูงมาก ทำให้เราสามารถแข่งขันได้แล้ว อีกทั้งในภูมิภาคเอเชีย ยังพบว่า ความต้องการบริโภคน้ำตาลในขณะนี้อยู่ที่ 60 ล้านต้น แต่ปริมาณที่ผลิตได้อยู่ที่ 50 ล้านตันเท่านั้น เท่ากับว่า ยังขาดอีก 10 ล้านตัน ดังนั้น ภูมิภาคเอเชียจึงยังเป็นตลาดใหญ่สำหรับบ้านเรา
“จริงๆ แล้วประเทศไทยมีพื้นที่นาดอนจำนวนมาก แต่กลับให้ผลผลิตต่ำ ปลูกข้าว 1 ไร่สร้างรายได้เพียง 6,000 บาท ซึ่งหากนำพื้นที่ดังกล่าวมาปลูกอ้อยจะให้ผลตอบแทนไร่ละ 10,000 บาท ฉะนั้น แนวทางดังกล่าวจึงเป็นทางเลือกของชาวไร่ชาวนา”
นายอิสระ กล่าวต่อว่า สำหรับนโยบายของรัฐบาลที่ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการอย่างมาก คงหนีไม่พ้นนโยบายค่าจ้างแรงงาน 300 บาท แต่หลักจากปรับลดหลักเกณฑ์ให้ขึ้นค่าแรง 40% จากอัตราเดิม ก็ช่วยบรรเทาลงได้ ขณะที่นโยบายด้านพลังงานของรัฐบาล แม้ในช่วงแรกจะตกใจอยู่บ้าง เนื่องจากรัฐบาลประกาศลดราคาน้ำมันเบนซิน แต่ไม่ได้ลดราคาเอทานอล ทำให้ตัวเลขการใช้เอทานอลจาก 1.3 ล้านลิตรต่อวัน ลดลงเหลือต่ำกว่า 1 ล้านลิตรต่อวัน แต่ทั้งนี้ เมื่อคณะกรรมการพลังงาน เตรียมยกเลิกเบนซิน 91 ในปีหน้า และหันมาใช้เอทานอลผสมก็จะช่วยให้สถานการณ์ผ่อนคลายลง
“ สิ่งที่ภาคการเกษตรจะต้องปรับตัวคือ การฝึกอบรมพัฒนาแรงงานภาคการเกษตรให้มีทักษะและประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันจะต้องนำเครื่องจักร เทคโนโลยีเข้ามาใช้ในภาคการเกษตรมากขึ้น”
นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ ไม่ได้ตอบโจทย์ระยะยาว
ส่วนนายศุภชัย กล่าวว่า สำหรับด้านโทรคมนาคมยังไม่เห็นผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก เนื่องจากโทรคมนาคมเป็นเรื่องสาธารณูปโภค อีกทั้งในบ้านเรายังมีการขยายตัวต่ำ ทำให้สามารถขยายตัวต่อไปได้ ส่วนนโยบายของรัฐบาลที่จะมี fiber optic ไปถึงทุกหมู่บ้าน หรือแจกแท็บเล็ตให้กับนักเรียน คิดว่าเป็นนโยบายที่ถูกต้อง เพราะเทคโนโลยีด้านไอซีทีเป็นตัวช่วยในการเพิ่มขึ้นผลผลิต และช่วยให้มีการไหลเวียนข้อมูลข่าวสาร ข้อมูลความรู้อย่างทั่วถึง แต่ทั้งนี้ การให้แท็บเล็ตต้องเป็นการให้อย่างมีเงื่อนไข เพื่อป้องกันการนำไปจำหน่าย ขณะเดียวกันการจัดการ รวมถึงการดูแลเกี่ยวกับเนื้อหาที่เด็กสามารถเข้าถึงได้ก็ยังเป็นเรื่องสำคัญ
“นโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐขณะนี้ ยังไม่ได้ตอบโจทย์ระยะยาว ดังนั้น สิ่งที่รัฐสามารถทำควบคู่ไปได้คือการลงทุนในสาธารณูปโภคพื้นฐาน เพื่อที่จะช่วยเพิ่มผลผลิตและประสิทธิภาพการผลิตให้ดีขึ้น ขณะเดียวกันรัฐบาลควรวางนโยบายระยะกลาง ระยะยาวให้มีความชัดเจน”นายศุภชัย กล่าว และว่า แม้เศรษฐกิจโลกจะมีปัญหา แต่หากเรามองว่า เศรษฐกิจยุโรปคือคนอายุ 50-60 ปี เศรษฐกิจสหรัฐฯ คือคนอายุ 40 ปี ส่วนเศรษฐกิจในภาคพื้นเอเชีย รวมทั้งไทยเป็นคนอายุ 20 ปีจะเห็นได้ชัดว่า การเติบโตด้านเศรษฐกิจของประเทศในเอเชียยังมีสูง ซึ่งถ้าเราปรับตัวได้ดี วางโครงสร้างพื้นฐานในการสร้างผลผลิตมวลรวม รวมทั้งรักษาสมดุลในการขยายการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ก็คิดว่าเศรษฐกิจในบ้านเราน่าจะดี
ไม่ใช่ใช้เงินเฉยๆ ทุกนโยบายของรัฐบาลต้องวัดผลได้
ขณะที่ดร.วิชิต กล่าวว่า ผู้ประกอบการธุรกิจ เอกชนของไทย หลังจากประสบวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งจึงได้เรียนรู้และแข็งแกร่งขึ้นมาก อีกทั้งการที่เราประสบวิกฤตก่อนคนอื่น ก็ทำให้เราฉลาดกว่าคนอื่น ขณะที่ภาครัฐ หากดูฐานะงบฯขาดดุล การกู้เงินสาธารณะในขณะนี้จะพบว่า ยังอยู่ในระดับต่ำ ไม่ได้ทำให้ฐานะทางการคลังในบ้านเราเป็นอย่างเช่น ประเทศกรีซ หรืออิตาลี ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า เราไม่ได้ประสบปัญหาเช่นเดียวกับยุโรปหรือสหรัฐฯ
ส่วนนโยบายของรัฐบาล ดร.วิชิต กล่าวว่า สิ่งที่ต้องถามคือ ถ้าเป็นนโยบายที่ต้องใช้เงิน จะเอาเงินมาจากไหน สิ่งเหล่านี้จึงเป็นโจทย์ที่ทุกฝ่ายต้องคิด การกระตุ้นเศรษฐกิจต้องมีหลักเกณฑ์ ต้องรู้ว่าใส่ไป 100 บาทต้องได้คืนมา 150-200 บาท ไม่ใช่ใส่ไป 100 บาทแล้วได้คืนแค่ 10 บาทเท่านั้น ดังนั้น ไม่ใช่ใช้เงินเฉยๆ โดยไม่วัดว่าจะได้คืนเท่าไหร่ ทุกนโยบายของรัฐบาลจะต้องมีหลักเกณฑ์ดังกล่าวกำกับ เพื่อตอบได้ว่าเป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนคุ้มค่า ทั้งนี้ ผลตอบแทนอาจไม่จำเป็นต้องเป็นตัวเงิน แต่สิ่งสำคัญคือต้องอธิบายได้
“นโยบายที่อาจมีความเห็นไม่ตรงกัน แต่เมื่อมีตัววัดผลทั้งระยะสั้นและระยะยาว ก็จะช่วยให้ความเห็นต่างในตอนต้นเบาลงได้”