- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- รีดภาษีน้ำท่วม “ดร.อดิศร์” ยันทำได้เป็นครั้งคราว หวั่นติดเป็นนิสัย-สร้างภาระต่อเนื่อง
รีดภาษีน้ำท่วม “ดร.อดิศร์” ยันทำได้เป็นครั้งคราว หวั่นติดเป็นนิสัย-สร้างภาระต่อเนื่อง
อาจารย์นิด้า ชี้ เก็บภาษีน้ำท่วมทุกปี เท่ากับสารภาพแก้ปัญหาน้ำท่วมไม่ได้ แนะเรียกเก็บภาษีน้ำท่วม ผ่านที่ดิน เชื่อ คนมีที่ดินในเมือง จ่ายได้อยู่ เสนอมาตรการเฉพาะหน้า-ทำได้ทันทีคือ นำเงินรายได้ ‘กทม.’ ไปจุนเจือพื้นที่รอบนอก ไม่ใช่ปล่อยให้พื้นที่ประสบภัยเคว้ง รอพึ่งแต่งบฯ ส่วนกลาง
รศ.ดร.อดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา คณบดีคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และที่ปรึกษาฝ่ายวิจัยทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ให้สัมภาษณ์กับ “ศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทย” ถึงแนวคิดเรื่องการจัดเก็บภาษีน้ำท่วมจากคนเมือง หรือเมืองที่ไม่ถูกน้ำท่วม เพื่อช่วยเหลือและเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยว่า แต่ถ้าเป็นไปได้ ตนคิดว่า น้ำไม่ควรท่วมตั้งแต่แรก จะได้ไม่ต้องภาษีกัน เพราะตามปกติแล้ว เมืองหลวงในประเทศที่พัฒนามักไม่ค่อยประสบปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก แต่น้ำจะท่วมนานๆ ครั้ง เช่น เมื่อเกิดมรสุม ซึ่งก็พอเข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องที่เอาไม่อยู่
“การเก็บภาษีน้ำท่วมในแง่หนึ่งก็เป็นตัวสะท้อนว่า เราล้มเหลวด้านการบริหารจัดการน้ำ ผมจึงคิดว่า เราน่าจะต้องไปหาสาเหตุของน้ำท่วม แล้วไปแก้ปัญหาที่ต้นตอ เพื่อให้ปัญหาน้ำท่วมเกิดขึ้นน้อยที่สุด”
รศ.ดร.อดิศร์ กล่าวอีกว่า หากจะเก็บภาษีน้ำท่วมจริง ก็ควรทำเป็นครั้งคราว ไม่ใช่เก็บภาษีดังกล่าวเป็นประจำทุกปี เพราะจะเป็นการสร้างภาระต่อเนื่อง โดยในปีที่น้ำท่วมรุนแรง ตามหลักการนั้นเราจำเป็นต้องป้องกันพื้นที่เขตเมืองเอาไว้ เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าว ไม่ว่าจะกรุงเทพฯ เชียงใหม่ นครสวรรค์ ถือเป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจ หากเกิดความเสียหายเกิดขึ้นจะมีตัวเลขที่สูง ดังนั้น จึงต้องมีการจัดเกิดภาษีไปช่วยเหลือจังหวัดที่รับน้ำแทน อย่างเช่น จังหวัดปทุมธานี นครนายก ซึ่งเป็นที่พื้นที่รับน้ำแทนกรุงเทพฯ
สำหรับรูปแบบการเก็บภาษีน้ำท่วมนั้น รศ.ดร.อดิศร์ กล่าวว่า ทำได้ในหลายรูปแบบ เพราะมีฐานภาษีหลายตัวที่เราสามารถเก็บได้ เช่น เก็บจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีรถยนต์ที่มีทะเบียนในกรุงเทพฯ แต่วิธีการที่ดีที่สุดคือการเก็บในรูปของภาษีที่ดิน โดยอัตราการเก็บ ยกตัวอย่างเช่น จากเดิมเคยเก็บในอัตรา 3% ในปีถัดไปอาจเก็บเพิ่มเป็น 3.5% หรือ 4% เพื่อนำรายได้ส่วนเพิ่มไปชดใช้ให้กับพื้นที่รับน้ำ ชาวบ้านจะได้ไปปลูกบ้านใหม่ จะได้มีชีวิตที่ไม่ย้ำแย่ไปกว่าเดิม
“หลักการเก็บภาษีดังกล่าว โดยนัยยะแล้วจะเน้นที่การเก็บภาษีบนฐานของทรัพย์สิน สมมุติว่า ที่ดินแปลงหนึ่งควรจะถูกน้ำท่วม แต่น้ำกลับไปท่วม เพราะสูบไปลงที่อื่น เจ้าของที่ดินก็คือผู้ที่ได้รับประโยชน์ หรืออีกกรณีหนึ่ง สมมุติว่า บ้านหลังหนึ่งถ้าเกิดน้ำท่วม อาจจะต้องเสียค่าซ่อมแซม 50,000 บาท แต่เพื่อแลกกับการไม่ปล่อยน้ำเข้ากรุงเทพฯ และเสียภาษีประมาณ 7,000-10,000 บาทก็ถือว่ากำไรอยู่ดี”
ส่วนผู้ใช้แรงงานที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ นั้น รศ.ดร.อดิศร์ กล่าวว่า น้ำจะมาหรือไม่ ผู้ใช้แรงงานก็ไม่มีส่วนได้เสีย เพราะไม่ได้มีทรัพย์สินที่ดินอะไร ดังนั้น การไม่เก็บภาษีกับกลุ่มคนดังกล่าว ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ อีกทั้งบุคคลซึ่งมีที่ดินในกรุงเทพฯ ก็ถือเป็นคนที่มีฐานะ สามารถจ่ายได้อยู่แล้ว ดังนั้น การเก็บภาษีบำรุงท้องที่จะเป็นวิธีการที่น่าจะเหมาะสม
“สุดท้ายแล้ว หากจะมีการเก็บภาษีดังกล่าวจริงๆ คงต้องมาดีดลูกคิดอีกครั้งว่า ตัวเลขภาษีจะเป็นเท่าใด เพราะต้องไปคำนวณความเสียหายที่เกิดขึ้นก่อน แต่ขอย้ำว่า การเก็บภาษีดังกล่าวต้องทำนานๆ ครั้ง ไม่ใช่เก็บกันทุกปีจนเป็นนิสัย เพราะเท่ากับสารภาพว่า เราแก้ปัญหาน้ำท่วมไม่ได้”รศ.ดร.อดิศร์ กล่าว และว่า อย่างไรก็ตาม แนวทางที่สามารถทำได้ทันทีคือ การนำเงินรายได้ของ กทม. ไปจุนเจือพื้นที่รอบนอก ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรจะทำมากกว่าให้จังหวัดที่ประสบภัยพึ่งแต่งบประมาณแผ่นดินจากส่วนกลางอย่างเดียว
รก.ผอ.สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย เสนอปัดฝุ่นแนวคิด รีด ‘ภาษีน้ำท่วม’ คนเท้าแห้ง http://www.thaireform.in.th/news-highlight/item/6470-2011-09-26-08-22-37.html