- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- นักเศรษฐศาสตร์ เผยกำไรจากการผูกขาดทางการค้า ต้นต่อนักธุรกิจ แทรกแซงการเมือง
นักเศรษฐศาสตร์ เผยกำไรจากการผูกขาดทางการค้า ต้นต่อนักธุรกิจ แทรกแซงการเมือง
“ดร.วรรณวิภางค์” เชื่อผูกขาดแข่งขันทางการค้า กระทบราคาสินค้า ผู้ผลิตตั้งราคาสูง-ลดคุณภาพสินค้าได้ตามอำเภอใจ ชี้ ตลอด 12 ปี หลังประกาศใช้ พ.รบ.การแข่งขันทางการค้า 2542 ลากผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีได้เพียงเรื่องเดียว ขณะที่สหรัฐฯ-เกาหลีใต้ กระตือรือร้นใช้กฎหมายมากกว่า
วันที่ 10 ตุลาคม คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย และแผนงานส่งเสริมนโยบายสาธารณะที่ดี (นสธ.) จัดการอภิปรายเรื่อง “ร่างพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า (ฉบับที่...) พ.ศ....” ภายใต้โครงการวิจัย “การปรับปรุงกระบวนการนิติบัญญัติของประเทศไทยเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน” ณ ห้องประชุมชั้น 5 คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ดร.วรรณวิภางค์ มานะโชติพงษ์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำเสนอ “บทวิเคราะห์ร่างพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า (ฉบับที่...) พ.ศ....” ว่า เนื่องจากพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2542 ที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบันนั้น ให้การยกเว้นแก่รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณทั้งหมด กอปรกับตัวกฎหมายเองก็มีปัญหาด้านการบังคับใช้ จนทำให้รัฐไม่สามารถใช้เครื่องมือในการกำกับดูแลให้ผู้ประกอบการต่างๆ มีการแข่งขันอย่างเสรี เป็นธรรม ขณะเดียวกันสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า ก็ยังไม่มีความเป็นอิสระในการบังคับใช้กฎหมาย เนื่องจากอยู่ภายใต้การกำกับของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการศึกษาร่างพ.ร.บ. ฉบับดังกล่าว ควบคู่ไปกับร่าง พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า (ฉบับที่...) พ.ศ.... ที่เสนอโดยนางอานิก อัมระนันทน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์และคณะ ซึ่งรับรองโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 เมษายนที่ผ่านมาว่าจะสามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้มากน้อยเพียงใด
ดร.วรรณวิภางค์ กล่าวถึงการผูกขาดการแข่งขันทางการค้าว่า ทำให้ผู้บริโภคเผชิญกับภาวะสินค้าราคาแพง เพราะผู้ผลิตสามารถตั้งราคาสูง หรือลดคุณภาพสินค้าและบริการลงได้ ขณะเดียวกันยังส่งผลให้การพัฒนาสินค้าบริการไม่เกิดขึ้นมากนัก เพราะผู้ผลิตไม่มีแรงจูงใจในการพัฒนา และยังไม่ได้เป็นตัวสะท้อนว่า ระบบเศรษฐกิจนั้นมีประสิทธิภาพด้อยลงหรือไม่
"การผูกขาดนั้นมักมีแนวโน้มที่อาจทำให้การผลิตไม่เกิดประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ ยังส่งผลให้เกิดปัญหาทางการเมืองตามมา เพราะผู้ประกอบที่มีกำไรจากการผูกขาดมักเข้าไปแทรกแซงทางการเมือง หรือกฎหมาย เพื่อให้ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นนั้นอยู่ต่อไปได้นานที่สุด”
ดร.วรรณวิภางค์ กล่าวต่อว่า กฎหมายแข่งขันทางการค้า เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ระบบเศรษฐกิจไปสู่จุดที่มีประสิทธิภาพได้ เนื่องจากกฎหมายดังกล่าว มีลักษณะช่วยป้องกันการใช้อำนาจเหนือตลาดอย่างไม่เป็นธรรม ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดการเอาเปรียบผู้บริโภค สมคบกันเพื่อผูกขาด รวมถึงการกีดกันไม่ให้เกิดการแข่งขัน
สำหรับการบังคับใช้ พ.รบ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2542 ตลอด 12 ปีที่ผ่านมานั้น ดร.วรรณวิภางค์ กล่าวว่า มีการร้องเรียนต่อสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าจำนวนทั้งสิ้น 77 เรื่อง และมีเพียง 1 เรื่องเท่านั้นที่เข้าสู่กระบวนการดำเนินคดี ซึ่งหากเปรียบกับต่างประเทศจะพบว่า สหรัฐอเมริกามีการบังคับใช้ทั้งหมด 320 กรณี ขณะที่ประเทศเกาหลีใต้มีการบังคับใช้กฎหมายถึง 1,001 กรณี ดังนั้น สัดส่วนตัวกล่าวจึงมีความแตกต่างอย่างชัดเจน และสะท้อนถึงความกระตือรือร้นในการใช้กฎหมาย
อย่างไรก็ตามในช่วงท้าย ดร.วรรณวิภางค์ กล่าวถึงข้อเสนอแนะต่อร่างกฎหมายดังกล่าวว่า ควรให้รัฐวิสาหกิจทุกประเภทอยู่ภายใต้กฎหมายการแข่งขันทางการค้า ยกเว้นในส่วนที่มีองค์กรกำกับดูแลเป็นของตนเอง ขณะที่กฎหมายควรระบุแนวทางการคำนวณส่วนแบ่งตลาดให้ชัดเจน และควรตั้งขอบข่ายของผู้ประกอบการที่มีอำนาจเหนือตลาดให้ชัดเจนอีกด้วย เพราะที่ผ่านมากฎกระทรวงได้กำหนดไว้ว่า บริษัทที่มีอำนาจเหนือตลาดคือผู้ที่มีส่วนแบ่งตลาดเกินกว่า 50% อีกทั้งรายได้จากการขายสินค้าชนิดนั้นจะต้องเกิน 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งจากการคำนวณแล้วพบว่า มีบริษัทที่เข้าข่ายไม่มากนัก ดังนั้นเพื่อให้บริษัทอยู่ภายใต้การพิจารณาของคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า จึงต้องมีการปรับบทบัญญัติขั้นต่ำลดลง ขณะเดียวกันควรมีการกำหนดแนวทางการพิจารณา เพื่ออนุโลมให้มีการผูกขาดได้ในระยะสั้น
“นอกจากนี้ให้สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า มีหน้าที่ให้ข้อมูลข่าวสารแก่ผู้ประกอบการและผู้บริโภคเกี่ยวกับกฎหมายแข่งขันทางการค้า รวมถึงรับเรื่องร้องทุกข์จากผู้บริโภค และควรเพิ่มบทลงโทษให้เพียงพอแก่การเป็นเครื่องมือป้องกันที่มีประสิทธิภาพ แต่ไม่ควรมีโทษทางอาญา ประการสุดท้ายควรปรับองค์ประกอบของคณะกรรมการสรรหา และคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าให้มาจากสายความเชี่ยวชาญที่ตรงกับงานของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคมากขึ้น โดยเฉพาะสาขานิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และการคุ้มครองผู้บริโภค ในทางกลับกันจะต้องลดจำนวนสาขาที่ไม่จำเป็นลง”
อ่านเพิ่มเติม...