- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- นพ.นิรันดร์ ยันกฤษฎีกา ไม่มีสิทธิก้าวล่วงการใช้อำนาจของ กสม.
นพ.นิรันดร์ ยันกฤษฎีกา ไม่มีสิทธิก้าวล่วงการใช้อำนาจของ กสม.
“นพ.นิรันดร์” ลั่น หลักสิทธิมนุษยชนคือกฎหมาย ไม่ได้คิดขึ้นเอง แจง หน่วยงานรัฐถามความเห็นกฤษฎีกาได้ แต่ต้องพิจารณามติ กสม. ควบคู่ไปด้วย ย้ำชัด ทุกหน่วย ถ้าใช้อำนาจก็ต้องรับผิดชอบเอง
จากกรณีการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อความเห็นเกี่ยวกับคำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ที่ว่า มาตรการต่าง ๆ ของ กสม. ที่กำหนดให้หน่วยงานของรัฐปฏิบัติตามนั้น มิได้เป็นที่ยุติเด็ดขาดที่จะสามารถคุ้มครองผู้ปฏิบัติตามให้ปฏิบัติการใดๆ โดยไม่เป็นการผิดกฎหมายหรือไม่ต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำนั้น ซึ่งเรื่องดังกล่าวอาจมีผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของ กสม. เพราะในที่สุดแล้วจะไม่มีหน่วยงานของรัฐใดยอมทำตามคำชี้ขาดของ กสม. เนื่องจากเกรงว่า ต้องรับผิดตามกฎหมาย นั้น
นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวถึงการตีความหรือการให้ความเห็นทางกฎหมายของคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า เป็นเรื่องของฝ่ายบริหารที่จะต้องมีกฤษฎีกาไว้ เพื่อเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมาย ส่วน กสม. นั้นเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหารในเรื่องการใช้อำนาจรัฐ ฉะนั้น คำวินิจฉัยของกฤษฎีกาจึงเป็นคนละส่วนไม่เกี่ยวข้องกับ กสม.
“ถ้าพูดตรงไปตรงมา กฤษฎีกาไม่สามารถก้าวล่วงการใช้อำนาจของ กสม. ได้ ขณะเดียวกัน กสม. เองก็ไม่จำเป็นต้องไปใช้บริการของกฤษฎีกา เพราะเป็นคนละส่วนกัน”
นพ.นิรันดร์ กล่าวถึงการใช้อำนาจของ กสม. เป็นเรื่องการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายสิทธิมนุษยชน รวมทั้งกฎหมายโลก ทั้งปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและอนุสัญญาที่เกี่ยวกับมนุษยชนอีก 8-9 ฉบับ โดย กสม. พยายามเข้าไปตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐว่า หน่วยงานต่างๆ ใช้อำนาจตรวจสอบตามกฎหมายที่ตนถืออยู่ ควบคู่ไปกับการยึดหลักเกณฑ์ที่ถูกต้องตามกฎหมายรัฐธรรมนูญในเรื่องสิทธิเสรีภาพ หมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ซึ่งเป็นนโยบายที่รัฐบาลจะต้องปฏิบัติตามในการเคารพสิทธิเสรีภาพและการมีส่วนร่วมด้วยหรือไม่
“การตรวจสอบของ กสม. ยึดหลักเกณฑ์ตามกฎหมาย เพียงแต่ว่า ปัญหาของสังคมไทยที่ต้องรู้คือ บรรดากฎหมายที่หน่วยงานของรัฐถืออยู่นั้น ส่วนใหญ่มักจะเป็นกฎหมายที่เกิดขึ้นก่อนปี 2540 ซึ่งมีการพูดถึงเรื่องสิทธิเสรีภาพไม่มากนัก ทำให้กฎหมายต่างๆ มักจะดำเนินการใช้อำนาจของรัฐหรือส่วนราชการโดยไม่ค่อยนึกถึงหลักสิทธิมนุษยชน รวมถึงพันธกรณีที่เราให้ไว้กับต่างชาติ เพราะเท่าที่ผ่านมาปัญหาในการละเมิดสิทธิมนุษยชน 99% ก็เป็นเรื่องของการบังคับใช้กฎหมายโดยไม่ได้คำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนทั้งสิ้น”
กก.สิทธิฯ กล่าวอีกว่า มุมมองของ กสม. นั้นพยายามมองกฎหมายในเชิงซ้อน เพราะการมองกฎหมายด้านใดด้านหนึ่ง แพ่งก็แพ่ง อาญาก็อาญาอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอสำหรับปัจจุบัน แต่ต้องมองในด้านสิทธิมนุษยชนสิทธิชุมชน สิทธิเรื่องการสื่อสาร รวมทั้งสิทธิทางการเมืองควบคู่ไปด้วย การมองหรือการบังคับกฎหมายต้องเชื่อมโยงกับกฎหมายประกอบอื่นๆ ด้วย ฉะนั้น สิ่งที่เป็นความเห็นของ กสม. จึงเป็นเรื่องที่หน่วยงานต้องนำไปพิจารณา
“กสม. ไม่ได้มีอำนาจไปสั่งการให้คุณให้โทษได้ แต่ส่วนราชการต้องนำความคิดเห็นของ กสม. ไปประกอบการพิจารณา ถ้าหน่วยงานนั้นๆ พิจารณาแล้วว่า การใช้อำนาจของตนไม่ได้คำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน อย่างเช่น กรณีของหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งถูกหน่วยงานราชการฟ้องขับไล่ ทั้งคดีแพ่งและคดีอาญาฐานบุกรุกป่า แต่ กสม. กลับไปพบว่า ชาวบ้านเหล่านั้นอยู่อาศัยมาเป็นเวลา 30-40 ปีแล้ว อีกทั้งสภาพพื้นที่ก็เป็นหมู่บ้าน ไม่ใช่ป่า กสม.จึงประสานไปยังสำนักนายกรัฐมนตรีว่า เข้าข่ายจัดทำโฉนดชุมชน ซึ่งเมื่อฝ่ายบริหารเห็นด้วยก็ดำเนินการ แต่ในทางกลับ หากเรื่องใดไม่ดำเนินการและ กสม. เห็นว่าเป็นการละเมิด กสม.ก็มีอำนาจในการฟ้องร้อง ทั้งศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญได้เช่นกัน ทั้งนี้ เพราะหลักสิทธิมนุษยชนคือหลักกฎหมาย ไม่ใช่หลักที่คิดขึ้นเอง”
อย่างไรก็ตาม นพ.นิรันดร์ กล่าวด้วยว่า หน่วยงานต่างๆ สามารถถามความเห็นจากกฤษฎีกาได้ แต่ในฐานะหน่วยงานที่ถือกฎหมายและใช้อำนาจก็ต้องพิจารณาด้วยว่า การให้ความเห็นของกฤษฎีกานั้นสอดคล้องหรือไม่ อีกทั้งต้องนำความเห็นของ กสม. พิจารณาควบคู่ไปด้วย
เมื่อถามว่า การตีความของกฤษฎีกาที่ว่า คำชี้ขาดของ กสม. มิได้เป็นที่ยุติเด็ดขาดที่จะสามารถคุ้มครองผู้ปฏิบัติตามได้นั้น นพ.นิรันดร์ กล่าวว่า ตนคิดว่าเป็นเรื่องปกติของคนที่มีอำนาจ ทุกหน่วยทุกองค์กร ถ้าใช้อำนาจก็ต้องรับผิดชอบ แต่สังคมไทย หน่วยงานของรัฐไม่เข้าใจเรื่องความรับผิดชอบดังกล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:กฤษฎีกาฟันธงมติ คกก.สิทธิ์ฯไร้สภาพบังคับ หน่วยงานรัฐทำตามเสี่ยงผิด กม.