- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- “สุรจิต ชิรเวทย์” หนุนป้อง ‘สุวรรณภูมิ’ เต็มสูบ ชี้ปล่อยท่วมเสียหายหนัก
“สุรจิต ชิรเวทย์” หนุนป้อง ‘สุวรรณภูมิ’ เต็มสูบ ชี้ปล่อยท่วมเสียหายหนัก
ส.ว.สมุทรสงคราม ฉะประเทศไทยไร้ยุทธศาสตร์ชาติ มีแต่นโยบายพรรคการเมือง เชื่อจุดบอดระยะยาว หากยังไม่ตั้งคำถาม จะเป็นประเทศแบบไหน-อยู่กันอย่างไร
เมื่อเร็วๆนี้ นายสุรจิต ชิรเวทย์ ประธานคณะอนุกรรมาธิการทรัพยากรน้ำ ในคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา และสมาชิกวุฒิสภา จังหวัดสมุทรสงคราม ให้สัมภาษณ์ คลื่นวิทยุ 101 ถึงสถานการณ์อุทกภัยที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ โดยเฉพาะการผลักน้ำที่ต้องผลักไปทางทิศตะวันออกของกรุงเทพฯ ซึ่งอ้อมไกล ขณะที่กรุงเทพฯ มีความลาดเอียงต่ำ จึงต้องใช้เครื่องช่วยผลักน้ำ พูดง่ายๆ คือ ทั้งเมืองขวางทางน้ำอยู่
ส่วนการผันน้ำไปทางทิศตะวันตกของกรุงเทพฯ นายสุรจิต กล่าวว่า ตนไม่รู้ทางลาดเอียงเวลาผลักไปทางท่าจีน แต่ว่าตัวแม่น้ำท่าจีนความจุน้อย และมีความคดเคี้ยวมาก ส่วนทางแม่น้ำบางปะกง ก็คดเคี้ยวเหมือนกัน แต่ว่าในลายทางจากแม่น้ำเจ้าพระยาไปถึงบางปะกง เดิมมีทางน้ำอยู่มาก ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ท่านวางอะไรต่ออะไรไว้ แต่เราไปใส่สนามบินสุวรรณภูมิ ลงไป 42 ตารางกิโลเมตร จึงไปขวางทางน้ำอยู่
“เราอยู่ผิดที่ผิดทางมาหมดแล้ว ดังนั้น การป้องกันสนามบินสุวรรณภูมิ จึงมีความจำเป็น ถ้าปล่อยให้ท่วม ความเสียหายจะใหญ่มาก แต่เมื่อน้ำอ้อมไกลพี่น้องตอนบนจะลำบาก เพราะน้ำจะขังนาน” ส.ว.สมุทรสงคราม กล่าว และว่า ที่น่าเป็นห่วงมากคือ ถ้าฝนยังตกแบบนี้ และน้ำข้างบนยังไม่ยุบ พอปลายเดือนตั้งแต่ 27-28 ตุลาคม เป็นต้นไป โดยเฉพาะ 29-30 ระดับน้ำทะเลจะบวกมาก ดังนั้นเวลาผลักน้ำ ต้องผลักให้สอดคล้องกับน้ำขึ้นน้ำลง และให้สอดคล้องกับร่องน้ำด้วย
เมื่อถามถึงการให้เครือข่ายภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมกับการจัดการภัยพิบัติครั้งนี้ นายสุรจิต กล่าวว่า รัฐบาลไม่มีทางทำสำเร็จ หากไม่ดึงเครือข่ายภาคประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วม โดยจะต้องเข้าไปเชื่อมโยงกับผู้นำชุมชน หรือผู้นำที่มีองค์ความรู้ในเรื่องนี้เช่น กรณี พี่น้องรอบอ่าว ก.ไก่ มีเครือข่ายอยู่แล้ว แต่ละพื้นที่มีข้อมูล ซึ่งการบริหารจัดการเรื่องน้ำต้องมีเครือข่ายร้อย ต้องทำงานข้ามกระทรวง ข้ามกรม กอง กันให้ได้
สำหรับการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ส.ว.สมุทรสงคราม กล่าวว่า จริงๆ แล้วต้องรื้อทั้งระบบ แต่ในเฉพาะหน้าก็ต้องแก้กันไปอย่างนี้ก่อน
“นิคมอุตสาหกรรมทั้ง 5 แห่ง จมน้ำที่อยุธยา สืบเนื่องจากยุคสมัยเศรษฐกิจฟองสบู่ เราอยากได้นิคมฯ กัน ซึ่งความจริงนิคมฯ ไม่จำเป็นต้องอาศัยดินดี ไม่จำเป็นต้องอยู่ในที่ราบลุ่ม เพราะเมื่อเกิดเหตุน้ำท่วมแบบนี้ทุกปี การแก้ไขเยียวยาจะสูงมาก ขณะเดียวกันหากจะให้นิคมฯ ไปอยู่ในที่ดอน ซึ่งต้องเดินทางไกล การขนส่งไม่สะดวก จึงจำเป็นต้องร้อยด้วยคมนาคมระบบรางหรืออื่นๆ”
นายสุรจิต กล่าวอีกว่า 1 ตารางกิโลเมตร ถ้าถมที่ 1 เมตร จะเท่ากับ 1 ล้านลูกบาศก์เซนติเมตร ลองมาคิดดูว่าถมที่ไปประมาณ 2-3 เมตรจะเป็นการแย่งพื้นที่น้ำเท่าไหร่ โดยนิคมฯ แต่ละแห่งต้อง 500 ไร่ขึ้นไป ดังนั้นจึงเป็นความวินาศ ทั้งๆ ที่อาคารสมัยใหม่อยู่บนคานได้ ไม่จำเป็นที่ต้องถมที่
"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระราชดำริไว้ตั้งแต่ปี 2537 ว่า กรุงเทพฯ โตเกินแล้ว ศูนย์ราชการทั้งหมดควรที่จะไปอยู่ที่ อ.บ้านนา จ.นครนายก แต่ท่านก็ไม่บังคับใคร ซึ่งที่ตรงนั้นสูงและไม่เป็นการแย่งที่ราบลุ่ม ที่ทำกิน”ส.ว.สมุทรสงคราม กล่าว และว่า ปรากฏการณ์ลานินญ่า อยู่กับเราไปอีก 2-3 ปี ฝนจะรุนแรง พายุจะเพิ่มปริมาณขึ้น ฝนตกไม่เป็นจังหวะ หรือตกแรง เพราะฉะนั้นต้องเตรียมการรับมือทั้งในระยะสั้นและระยะยาว การก่อสร้างก็ต้องคิดกันใหม่
นายสุรจิต กล่าวด้วยว่า ประเทศไทยไม่มียุทธศาสตร์ชาติ มีแต่นโยบายพรรคการเมือง เลยทำให้มองไม่เห็นว่า ในระยะยาวประเทศของเราจะเป็นประเทศแบบไหน และอยู่กันอย่างไร ขณะเดียวผังเมืองของประเทศก็มีความล้มเหลว เห็นได้ชัดจากที่ไม่สามารถประกาศผังเมืองได้ 67 จังหวัดทั่วประเทศ ทั้งนี้เกิดจากปัญหาการเมืองและปัญหาอื่นๆ ซ้อนเข้ามา มีพวกที่เอาที่ดินมาทำหมู่บ้านจัดสรร หรือเขตที่ตั้งโรงงาน