- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- “ศ.สุริชัย” แนะยึดหลักการมีส่วนร่วม บริหารจัดการศูนย์พักพิง หวั่นทำลายศักดิ์ศรีผู้ประสบภัย
“ศ.สุริชัย” แนะยึดหลักการมีส่วนร่วม บริหารจัดการศูนย์พักพิง หวั่นทำลายศักดิ์ศรีผู้ประสบภัย
ผอ.ศูนย์ศึกษาสันติภาพฯ จุฬาฯ ชี้ ปชช.ไม่กล้าทิ้งบ้าน หนีน้ำท่วม เหตุห่วงหน้าพะวงหลัง แนะทางแก้ รัฐต้องประกาศเขตภัยพิบัติอย่างเป็นทางการ เข้มงวดมาตรการดูแลความปลอดภัย-ทรัพย์สิน
ศ.สุริชัย หวันแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะที่เคยศึกษาข้อมูลด้านสังคมวิทยา การรับมือภัยพิบัติในช่วงเหตุการณ์สึนามิ กล่าวกับ “ศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทย” ถึงการบริหารจัดการศูนย์พักพิงชั่วคราว เพื่อรองรับผู้ประสบภัยว่า สำหรับการจัดการศูนย์พักพิงนั้น บ้านเรามีประสบการณ์ ทั้งจากสมัยไต้ฝุ่นเกย์และเหตุการณ์สึนามิ ทำให้หน่วยงานต่างๆ รวมทั้งประชาชนที่เคยประสบภัยพิบัติมีประสบการณ์ในการจัดการอยู่บ้าง แต่จากการสังเกตพบว่า ขณะนี้การจัดการศูนย์พักพิงยังไม่ค่อยเป็นกระบวนการ ทั้งที่เหตุการณ์น้ำท่วมเกิดขึ้นในจังหวัดลพบุรี นครสวรรค์ก่อน อีกทั้งพอน้ำใกล้มาถึงกรุงเทพฯ ก็ยังไม่เห็นความพร้อมของการเตรียมการด้านสังคม
“เราพูดกันแต่เรื่องน้ำมาไม่มา การสู้กับน้ำ ภาษาส่วนใหญ่จึงเป็นภาษาสู้กับน้ำมากกว่าการตั้งรับทางสังคม เราเอาชีวิตของสังคมไปเดิมพันกับเรื่องการจัดการน้ำ เห็นน้ำเป็นศัตรู เหมือนกับผู้ก่อการร้ายมากเกินไป ทั้งที่เหตุการณ์น้ำท่วมไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย เพียงแต่ครั้งนี้รุนแรงกว่าอดีตเท่านั้น”
ศ.สุริชัย กล่าวถึงการตั้งศูนย์พักพิงเป็นที่พักชั่วคราว น้ำลดคนก็กลับบ้าน เพราะบ้านเรือนไม่ได้เสียหายทั้งหลังเหมือนกับเกิดเหตุการณ์สึนามิ ส่วนระบบการจัดการศูนย์พักพิงนั้นก็เป็นเรื่องของหลักการที่ต้องขึ้นอยู่กับลักษณะประชากร เพศ วัย และสุขภาพ อีกทั้งยังต้องคำนึงถึงการนำสัตว์เข้ามาอยู่อาศัยอีกด้วย และสิ่งที่มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากันคือหลักคิดในเรื่องการมีส่วนร่วมของผู้พักพิง
“ศูนย์พักพิงจะต้องไม่ใช่ศูนย์เรียกหาบริการ ไม่ศูนย์สงเคราะห์ และไม่จำเป็นต้องจัดให้เป็นโรงแรมชั้นหนึ่ง ที่พักชั้นดี เพราะจะไม่สอดคล้องกับชีวิตปกติ นิสัยพื้นฐาน ทำให้ผู้ประสบภัยปรับตัวได้ยาก ซึ่งเท่ากับว่าสภาพจิตใจถูกซ้ำเติมไปโดยปริยาย แต่ศูนย์พักพิงจะต้องเปิดโอกาสให้ผู้ประสบภัยได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือผู้อื่น ทั้งทำอาหาร เฝ้ายาม ฯลฯ เพื่อไม่ไปทำลายศักดิ์ศรีของผู้ประสบภัย ในทางกลับกันผู้ประสบภัยย่อมเข้าใจผู้ประสบภัยด้วยกันดีกว่า อีกทั้งผู้ที่เข้ามาในศูนย์ฯ ก็เป็นยังหน่วยครอบครัว ชุมชนที่สามารถจัดการกันเองได้”
ขณะที่บทบาทของภาครัฐในการจัดการศูนย์พักพิงนั้น ศ.สุริชัย กล่าวว่า รัฐจะต้องทำหน้าที่ในการหนุนเสริม จัดระบบสาธารณูปโภค งบประมาณ รวมทั้งทรัพยากรต่างๆ เพราะผู้ประสบภัยบางคนอาจมาตัวเปล่า ทั้งนี้ นอกจากการสร้างการมีส่วนร่วมแล้ว ยังต้องมีการเชื่อมโยงระบบอาสาสมัคร เพื่อไม่ให้ศูนย์พักพิงเป็นระบบราชการล้วนๆ เพราะทุกอย่างจะเป็นระบบระเบียบไปทั้งหมด จนขาดมิติในเรื่องความเป็นพี่เป็นน้อง น้ำอกน้ำใจ ประการสำคัญ เมื่อศูนย์ฯ ประคับประคองตนเองได้ รัฐจะได้ไปดูแลที่อื่นๆ ไม่ใช่แบกรับทุกอย่าง กะโตงกะเตงกันไปเรื่อย เพราะในสถานการณ์เช่นนี้หลายที่ต้องการความช่วยเหลือ
สำหรับสถานการณ์ที่ประชาชนไม่ยอมทิ้งบ้านเรือน ย้ายไปยังศูนย์พักพิงนั้น ศ.สุริชัย กล่าวว่า จำเป็นต้องมีขั้นตอนในการจัดการรองรับ เมื่อประชากรเกิดการกระทบกระเทือนจากภัยพิบัติก็คาดการณ์ได้เลยว่าจะต้องมีการโยกย้าย เขตภัยพิบัติต้องมีการประกาศอย่างเป็นทางการ ใครจะเข้าไปยุ่มย่ามไม่ได้ เพื่อดูแลความปลอดภัยและทรัพย์สินของประชาชน แต่ถ้าไม่มีการประกาศ คนก็ไม่กล้าทิ้งบ้าน ห่วงน่าพะวงหลัง สิ่งเหล่านี้ก็สะท้อนว่า การบริหารราชการแผ่นดินบ้านเราไม่มีความรับผิดชอบเรื่องระบบรองรับภัยพิบัติเท่าที่ควร ขณะเดียวกันระบบข้อมูลบ้านเราไปรวมศูนย์ ต้องมีการแถลงจากรัฐบาลเท่านั้น แต่ไม่มีระบบข้อมูลในพื้นที่ที่สอดรับ
“ดังนั้น หน่วยงานราชการ ฝ่ายยุทธศาสตร์ของรัฐบาลที่ดูแลนโยบายด้านสังคม จะต้องมีความตั้งใจในการปรับปรุง ให้เป็นระบบ รวมถึงข้อมูลข่าวสาร การเตือนภัย ขั้นตอนเตรียมการระดับชุมชน ระดับท้องถิ่นต้องชัดเจน หากมีการอพยพ ต้องไม่รอจนขับขัน ส่วนศูนย์พักพิง ซึ่งแต่เดิมไม่ใช่ที่พัก ไม่ว่าจะโรงเรียน วัด หรือศูนย์ราชการนั้นจะต้องมีเตรียมการที่พอเหมาะพอสม โดยผู้บริหารบ้านเมืองต้องแปลงสภาพต่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้วนำมาใช้เตรียมการทางสังคม”
เมื่อถามว่า กรณีผู้ประสบภัยบางรายถูกย้ายศูนย์พักพิงแล้วถึง 2-3 แห่งเป็นการซ้ำเติมผู้ประสบภัยหรือไม่ ศ.สุริชัย กล่าวว่า ตนไม่ได้อยากชี้ว่าเป็นความบกพร่อง แต่ข้อเท็จจริงคือเหตุการณ์น้ำท่วมเกิดขึ้นมาหลายเดือนแล้ว การที่ผู้ประสบภัยต้องประสบภัย 2-3 ครั้งก็เหมือนกับเคราะห์ซ้ำกรรมซัด อีกทั้งยังสะท้อนว่า แผนรองรับภัยพิบัติบ้านเรายังไม่ได้การณ์
“การย้ายคนแข็งแรง 2-3 ครั้งยังพอทำเนา แต่ในกรณีคนป่วย คนชราก็ทุลักทุเล สภาพการณ์เหล่านี้จึงต้องการความเอาใจใส่ทางนโยบายที่เป็นกระบวนการ แต่ที่ผ่านมากระบวนการดังกล่าวยังไม่มีขั้นตอนเท่าที่ควร ชาวบ้านเจอภัยพิบัติน้ำแล้ว ยังมาเจอความไม่แน่นอนของการบริหารราชการอีก ถึงแม้จะไม่ได้ตั้งใจซ้ำเต็มประชาชน แต่การไม่สำนึกรับผิดชอบ ปรับปรุงตนเองของราชการก็กลายเป็นการซ้ำเติมโดยปริยาย ดังนั้น มีอะไรที่เรียนรู้ได้ก็ต้องเรียนรู้กันอย่างรวดเร็ว”
ศ.สุริชัย กล่าวถึงประสบการณ์รับมือภัยพิบัติในต่างประเทศว่า มีการจัดทำคู่มือรับมือภัยพิบัติอย่างเป็นขั้นเป็นตอนประกอบ ไม่ใช่ทุกอย่างฉุกเฉิน แม้ว่าภัยพิบัตินั้นจะเป็นประเภทที่คาดการณ์ไม่ได้เลย เช่น พายุ เฮอร์ริเคน สึนามิ แต่ก็มีแนวทางชัดเจน เช่น จะเคลื่อนย้ายกันไปที่ไหน อย่างไร ต้องเตรียมเอกสารสำคัญอะไรบ้าง ขณะเดียวกันหลังจากมีการจัดตั้งศูนย์พักพิงแล้วก็ยังมีระบบที่ชัดเจน
“การรับมือภัยพิบัติเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตสมัยปัจจุบัน เพราะภัยพิบัติจะเกิดมากขึ้น ดังนั้น ประสบการณ์เตรียมการสังคมจึงสำคัญที่สุดที่ผู้นำต้องเข้าใจ ขณะที่เรื่องการฟื้นฟูนั้นสามารถคิดควบคู่ไปกับการบริหารจัดการภัยพิบัติได้ แต่การฟื้นฟูต้องไม่ใช่การใช้เงินอย่างเดียว”