- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ภูมิปัญญาชาวฝั่งธนฯ ใช้คลองราชมนตรีดึงน้ำออกทะเล ไม่ต้องผ่านเจ้าพระยา
ภูมิปัญญาชาวฝั่งธนฯ ใช้คลองราชมนตรีดึงน้ำออกทะเล ไม่ต้องผ่านเจ้าพระยา
ส.ว.กรุงเทพฯ จี้ รัฐบาลเปิดโอกาสให้ภาคประชาสังคมใช้ภูมิปัญญา-พละกำลังช่วยจัดการน้ำ หากรัฐทำได้เพียงส่งเรือรับผู้ประสบภัย สวนนักวิชาการ ปล่อยฝั่งธนฯ ให้เป็นไปตามธรรมชาติ เท่ากับทอดทิ้งตามยถากรรม
นางรสนา โตสิตระกูล สมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานคร กล่าวกับ "ศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทย”ถึงการนำอุปกรณ์ผลักดันน้ำไปติดตั้งบริเวณคลองราชมนตรีตัดกับคลองบางบอน เพื่อผลักน้ำให้ลงทะเล เมื่อวันที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมาว่า ได้ทดลองนำอุปกรณ์ตัวแรกไปติดตั้งที่บริเวณคลองราชมนตรีตัดกับคลองบางบอนแล้ว ภายหลังจากที่มีการหารือระหว่างเครือข่ายประชาชนริมคลองฝั่งธนฯ กรรมาธิการ 3 คณะของวุฒิสภา ร่วมกับสำนักงานระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร และมูลนิธิ SCG ไปเมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมาถึงแนวทางการทำงานเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม รวมถึงจัดการกับคลองในฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา
“ฝั่งตะวันตกนั้นไม่มีคนดูแล ซึ่งเห็นได้จากการที่นักวิชาการหลายส่วนออกมาพูดว่า ฝั่งธนฯ ต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่งนั่นเท่ากับว่า ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม และเวลานี้น้ำก็ได้ท่วมเขตทวีวัฒนา ตลิ่งชัน รวมทั้งในเขตปริมณฑลไปแล้ว ภาคประชาชนจึงเสนอให้ใช้คลองในฝั่งธนฯ ที่เชื่อมต่อกับคลองราชมนตรีไปยังสถานีคลองมหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร และคลองขุนราชพินิจใจ จังหวัดสมุทรปราการ ในการผลักดันน้ำลงสู่ทะเล”
นางรสนา กล่าวต่อว่า จากการสำรวจพบว่า ไล่ตั้งแต่คลองภาษีเจริญลงไปถึงสถานีสุดท้ายก่อนผลักน้ำลงทะเล ปรากฏว่าคลองแห้งมาก ทั้งที่คลองอยู่ในระดับที่สามารถรับน้ำได้อีกประมาณ 1-1.5 เมตร ทั้งนี้เนื่องจากน้ำถูกดึงไปแม่น้ำเจ้าพระยาก่อนลงสู่อ่าวไทย แต่หากให้ไหลมาทางคลองราชมนตรีได้จะสามารถผลักน้ำลงสู่อ่าวไทย โดยไม่ต้องผ่านแม่น้ำเจ้าพระยา
“คลองราชมนตรีมีลักษณะเป็นเส้นตรงจากเหนือลงใต้ ส่วนคลองอื่นๆ นั้น ไม่ว่าจะคลองมหาสวัสดิ์ คลองทวีวัฒนา คลองบางเชือกหนังล้วนเป็นเส้นขวางทั้งสิ้น แต่ท้ายที่สุดแล้วคลองต่างๆ จะมีจุดเชื่อมต่อกันที่คลองภาษีเจริญ ซึ่งบริเวณดังกล่าวสามารถแยกไปทางท่าจีน ทางแม่น้ำเจ้าพระยา รวมถึงคลองราชมนตรีได้ ดังนั้น ขณะนี้ทาง กทม. จึงจะตั้งเครื่องสูบน้ำบริเวณวัดนิมมานนรดี เพื่อดึงน้ำลงคลองภาษีเจริญ ผ่านคลองราชมนตรี และระบายลงสู่ทะเลในที่สุด เพราะข้อเท็จจริงขณะนี้คือ เจ้าพระยาก็มีน้ำทะเลหนุน ฉะนั้น จึงควรเพิ่มเส้นทางการจราจรของน้ำ เพื่อลดแรงกดดันของมวลน้ำ”นางรสนา กล่าว และว่าการผันน้ำไปทางคลองราชมนตรีจะช่วยแบ่งเบาภาระได้ เพราะเมื่อครั้งที่น้ำท่วมใหญ่ปี 2526 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งว่าให้รักษาคลองน้ำให้ดี แต่ปรากฏว่า ปัจจุบันคลองดังกล่าวไม่ได้รับการดูแล
สำหรับกลไกการทำงานของอุปกรณ์ผลักดันน้ำนั้น นางรสนา กล่าวว่า เป็นแนวคิดจากภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่เรียกว่าการเป่าฟอง โดยใช้ถังขนาด 200 ลิตรมาเชื่อมต่อกัน 2-3 ถัง เพื่อสร้างอุโมงค์หรือท่อส่งน้ำ แล้วนำไปติดตั้งบนแพไม้ไผ่ ซึ่งมีใบพัดและเครื่องยนต์ของเรือหางยาวติดตั้งอยู่ โดยใบพัดจะทำหน้าที่ดึงน้ำเข้าไปในอุโมงค์ ทำให้มีแรงดันใต้น้ำที่จะช่วยผลักน้ำออกไปเร็วขึ้น ขณะเดียวกันแรงผลักดังกล่าวจะช่วยให้ขี้เลนที่ตกตะกอนฟุ้งกระจาย ผลคือคลองจะลึกขึ้น และน้ำเคลื่อนได้เร็วขึ้น
“ขณะนี้ทดลองติดตั้งไปแล้ว 1 จุด ซึ่งคาดว่าจะติดเพิ่มอีก 3-4 จุด เพื่อที่จะผลักน้ำให้เร็วขึ้น ส่วนอุปกรณ์ดังกล่าวจะช่วยได้มากน้อยเพียงใดนั้น ในระยะต่อไปก็น่าจะมีเครื่องมือชี้วัดที่สามารถคำนวณตัวเลขได้ว่า ก่อน-หลังติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าวได้ผลอย่างไร ซึ่งหากทดลองแล้วได้ผลดีก็น่าจะเป็นต้นแบบที่สามารถนำไปใช้งานในพื้นที่อื่นต่อไปได้ แต่ทั้งนี้ไม่ว่าผลการทดลองจะออกมาอย่างไร ก็ถือว่าภาคประชาสังคม ภาคส่วนต่างๆ ได้ร่วมมือกันต่อสู้ผลักดันน้ำ แทนที่จะงอมืองอเท้า รอคอยเป็นผู้ประสบภัยอย่างเดียว
ส.ว.กรุงเทพฯ กล่าวถึงยุทธศาสตร์การจัดการน้ำในขณะนี้ว่า ส่วนใหญ่เป็นยุทธศาสตร์ตั้งรับ สร้างคันคูขึ้นมาสกัดน้ำ ซึ่งความจริงแล้วการสร้างคันคูขึ้นมาก็เพื่อให้เรามีเวลาไปจัดการน้ำให้ลงสู่ทะเล แต่ว่ากระบวนการดังกล่าวยังมีน้อย เพราะไปเน้นแต่การทำคันคูและศูนย์อพยพ โดยยังขาดในเรื่องการใช้พละกำลังของภาคประชาสังคมเข้ามาช่วยในการจัดการน้ำ ผลักดันน้ำ ลอกคลอง เก็บขยะ ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ผู้คนมีความหวังมากกว่านี้
“เมื่อฝั่งธนฯ ถูกทอดทิ้ง บอกให้เป็นไปตามธรรมชาติ ขณะที่ภาครัฐสามารถจัดการได้เพียงส่งเรือมารับผู้ประสบภัย รัฐบาลก็ควรให้โอกาสภาคประชาสังคม ซึ่งมีความสามารถ มีภูมิปัญญาดั้งเดิมเข้ามาจัดการ รวมทั้งให้งบประมาณที่จะนำมาใช้ในการแก้ปัญหาตามสติปัญญาของภาคประชาชน แต่ขณะนี้กลับพบว่า รัฐบาลไม่ได้ใช้สติปัญญาและพละกำลังของภาคประชาสังคมอย่างเพียงพอ” ส.ว.กรุงเทพฯ
อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงข้อดีของการอยู่กับน้ำ ส.ว.กรุงเทพฯ กล่าวว่า ผู้ประสบภัยในบ้านเมืองขณะนี้มีจำนวนมาก เราก็ถือว่าเป็นเพื่อนร่วมทุกข์กัน ซึ่งเมื่อเรากลายเป็นผู้ประสบภัย การทำใจก็เป็นเรื่องที่จำเป็น
“เราคงต้องยอมรับว่าการรักษาชีวิตเป็นเรื่องสำคัญ ทรัพย์สินสามารถหาได้ในภายหลัก ต้องยอมปล่อยวาง ไม่เช่นนั้นเราก็จะท้อแท้ เศร้าโศก ส่วนผู้ประสบภัยบางรายที่ไม่ยอมอพยพ ต้องเข้าใจว่าอาจมีความยากลำบากในการส่งอาหาร หากการย้ายช่วยแก้ปัญหาให้ดีขึ้นก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี หรือถ้าชุมชนสามารถรวมกลุ่มกันเพื่อเชื่อมโยงกับพื้นที่ภายนอกได้ก็ต้องช่วยกันทำ”