- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ด่านสุดท้ายรับน้ำเหนือ “น.อ.สมัย ใจอินทร์”คาด3-4 วันฝั่งธนบุรีวิกฤติอีก
ด่านสุดท้ายรับน้ำเหนือ “น.อ.สมัย ใจอินทร์”คาด3-4 วันฝั่งธนบุรีวิกฤติอีก
นายช่างฯ กรมอู่ทหารเรือ จี้รัฐระดมสรรพกำลัง ช่วยกันดันน้ำลงทะเลให้เร็วที่สุด ย้ำชัดทำเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี ชี้หากพื้นที่ฝั่งตะวันออก เริ่มคลี่คลาย จะเสนอนำเรือผลักดันน้ำ ช่วยพื้นที่ ฝั่งธนฯ เพิ่ม
นาวาเอก ดร.สมัย ใจอินทร์ นายช่างเทคนิคอู่ทหารเรือธนบุรี และโฆษกกรมอู่ทหารเรือ กล่าวกับ “ศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทย” ถึงภารกิจของกองทัพเรือในการติดตั้งเรือผลักดันน้ำบริเวณคลองราชมนตรี เพื่อร่วมมือกับชุมชนฝั่งธนฯ ในการผลักดันน้ำลงสู่ทะเล ตั้งแต่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมาว่า ขณะนี้กองทัพเรือได้น้ำเรือผลัดดันน้ำจำนวน 2 ลำ ไปติดตั้งที่คลองราชมนตรีแล้ว และเตรียมติดตั้งเพิ่มอีก 1 ลำที่บริเวณคลองสนามชัย เนื่องจากพบว่า เรือผลักดันน้ำของกองทัพเรือและเครื่องผลักดันน้ำของชาวบ้าน ที่สร้างขึ้นจากเครื่องยนต์ของเรือหางยาวและติดตั้งไปก่อนหน้านี้ทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี
“หลังจากมีเครื่องผลักดันน้ำของชาวบ้านและกองทัพเรือเข้าช่วย พบว่า น้ำไหลเร็วขึ้น วัดได้จากการที่สถานีสูบน้ำคลองพระยาราชมนตรีต้องเปิดใช้เครื่องสูบน้ำเพื่อระบายน้ำลงสู่ทะเลเพิ่มขึ้นจากแต่เดิมเปิดใช้งาน 2 เครื่อง เพิ่มเป็น 6 เครื่อง ซึ่งนั่นหมายความว่า อัตราการไหลของน้ำเร็วขึ้นถึง 3 เท่า ทำให้ระบายน้ำได้ดีขึ้น”
เมื่อถามว่า คลองราชมนตรีมีความสำคัญมากน้อยเพียงใดต่อการระบายน้ำในฝั่งธนฯ น.อ.ดร.สมัย กล่าวว่า สมัยก่อนเราใช้คลองแนวขวางดึงน้ำจากเจ้าพระยา จากท่าจีนมาใช้ในการทำสวน แต่ลักษณะคลองดังกล่าวไม่เหมาะกับการระบายน้ำ ต้องใช้ระยะเวลานานในการสูบน้ำ โดยเฉพาะคลองฝั่งธนฯ ส่วนใหญ่ก็เป็นคลองแนวขวาง วิ่งจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก ต่างจากฝั่ง กทม.ที่มีคลองแนวตั้งจำนวนมาก ดังนั้นจึงเป็นทางเลือกหนึ่งในไม่กี่ทาง
"คลองราชมนตรี ซึ่งเป็นคลองแนวตั้ง วิ่งจากเหนือลงใต้จึงสามารถระบายน้ำได้เป็นอย่างดี คลองแนวตั้งจึงถือเป็นความหวังของคนฝั่งธนฯ ที่ในยามหน้าสิวหน้าขวานต้องพึ่งสิ่งที่ตนมีอยู่" น.อ. สมัย กล่าว และว่า นอกจากคลองราชมนตรีซึ่งถือว่าเป็นเส้นเลือดใหญ่แล้ว ยังมีคลองสนามชัย และคลองเล็กคลองน้อยอีกจำนวนหนึ่ง แต่ปัญหาที่พบคือ คลองมีสภาพตื้นเขินมาก ดังนั้น ตนจะหารือกับรัฐบาลในการระดมกำลังคนมาขุดลอกลำคลองต่อไป
สำหรับสถานการณ์น้ำในฝั่งธนบุรี น.อ.ดร.สมัย กล่าวว่า คาดว่า ใน 3-4 วัน ปัญหาน้ำในฝั่งธนฯจะมากขึ้น เพราะถือเป็นด่านสุดท้ายของน้ำเหนือไหลบ่า ดังนั้น จึงต้องช่วยกันดันลงทะเลให้เร็วที่สุด ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี
“กองทัพเรือจะเร่งประกอบเครื่องผลักดันน้ำขนาดต่างๆ เพิ่มขึ้น อีกทั้งในพื้นที่ฝั่งตะวันออก หากสถานการณ์น้ำเริ่มคลี่คลาย และมีความจำเป็นในการใช้เรือผลักดันน้ำน้อยลง ก็จะเสนอให้นำมาช่วยพื้นที่ฝั่งธนฯ ซึ่งขณะนี้ทราบว่า นางสาวรสนา โตสิตระกูล สมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานคร ได้ประสานไปยังกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ระดมเครื่องผลักดันน้ำจากกรมชลประทานมาช่วยผลักดันน้ำในคลองสนามชัย คลองราชมนตรีอีกทางหนึ่ง ซึ่งจะทำให้น้ำไหลได้สะดวกมากขึ้น”
ส่วนปริมาณน้ำที่คาดว่าจะระบายลงสู่ทะเลได้นั้น น.อ.ดร.สมัย กล่าวว่า หากผลัดดันน้ำให้มีปริมาณมากพอ จนเครื่องสูบน้ำ ซึ่งติดตั้งบริเวณสถานีปลายทาง เพื่อระบายน้ำลงสู่ทะเล ทั้งที่บริเวณคลองสนามชัยจำนวน 15 เครื่อง และคลองราชมนตรีจำนวน 10 เครื่อง ทำงานได้ 100 % จะสามารถระบายน้ำลงทะเลได้ถึง 6,480,000 ลบ.ม.ต่อวัน เพราะฉะนั้น ทั้ง 2 คลองดังกล่าวจึงถือเป็นคอขวดสำคัญในการระบายน้ำฝั่งธนฯ
"ปัญหาที่พบคือ การรุกล้ำลำคลองอย่างหนัก จนทำให้คลองราชมนตรีที่แต่เดิมนั้นเป็นคลองขนาด 8 เมตร ปัจจุบันในบางจุดกลับเหลือเพียง 2-3 เมตรไม่เหลือสภาพคลองแล้ว ดังนั้น คงต้องช่วยกันจัดระเบียบสังคมลำน้ำกันใหม่ เพื่อให้น้ำระบายได้ดีขึ้น"
อย่างไรก็ตาม นายช่างเทคนิคอู่ทหารเรือธนบุรี กล่าวถึงเรือผลักดันน้ำของกองทัพว่า สร้างขึ้นตั้งแต่น้ำท่วมใหญ่ปี 2538 ตามพระราชกระแสรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ซึ่งได้มอบเงินพระราชทานผ่านมูลนิธิชัยพัฒนา ให้กรมอู่ทหารเรือจัดสร้างเรือผลักดันน้ำชุดแรกขึ้น โดยเรือชุดดังกล่าว ปัจจุบันกรมชลประทานเป็นผู้ใช้งาน ขณะที่ในส่วนกองทัพเรือนั้นก็ได้มีการผลิตเรือผลักดันน้ำขึ้นมาใหม่จำนวนหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ได้นำเรือดังกล่าวไปใช้ปฏิบัติการณ์ผลักดันน้ำที่คลองลัดโพธิ์ แต่เมื่อบริเวณดังกล่าวมีเรือขนาดใหญ่เข้ามาช่วยและน้ำไหลดีขึ้นแล้ว จึงยกเรือมาใช้ผลักดันน้ำที่คลองภาษีเจริญ เพื่อช่วยฝั่งธนฯ
“นอกจากนี้กองทัพเรือยังเร่งสร้างเรือผลักดันน้ำขึ้นใหม่ ให้มีขนาดเครื่องยนต์ที่หลากหลาย เหมาะกับสภาพคลองในฝั่งธนฯ ที่มีลักษณะเป็นคลองเล็กคลองน้อย โดยคลองขนาดใหญ่จะใช้เครื่องยนต์ขนาด 320 แรงม้า ขณะที่คลองราชมนตรีจะใช้เครื่องยนต์ขนาด 220 แรงม้า ซึ่งเครื่องยนต์ดังกล่าวมีศักยภาพในการผลักดันน้ำได้ 1,000,000 ลบ.ม.ต่อวัน"
น.อ.ดร.สมัย กล่าวถึงเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ด้วยว่า ถือเป็นจังหวะดีที่ผู้หลักผู้ใหญ่ จะได้เห็นปัญหา คูคลองถูกลดความสำคัญ และหันมาให้ความสนใจมากขึ้น ปีหน้าน้ำใหม่คลองจะสะอาดกว่าเดิม รื้อฟื้นระบบคลองกันใหม่ เพราะปัญหาเปลี่ยนไปหมดแล้ว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ภูมิปัญญาชาวฝั่งธนฯ ใช้คลองราชมนตรีดึงน้ำออกทะเล ไม่ต้องผ่านเจ้าพระยา http://www.thaireform.in.th/news-highlight/item/6621-2011-10-31-15-31-53.html
ส.ว.กทม. ซัด คนจมน้ำ-ชาวบ้านลำบาก รบ.จ้องเขมือบงบฯ ‘นิวไทยแลนด์’http://www.thaireform.in.th/news-highlight/item/6629-2011-11-04-06-32-19.html