- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- หอการค้าไทย เผย สถานการณ์น้ำท่วมลากยาวเกิน 2 เดือน
หอการค้าไทย เผย สถานการณ์น้ำท่วมลากยาวเกิน 2 เดือน
"ดร.เสาวณีย์" ชี้ น้ำท่วมกระทบสุขภาพจิต ประชาชนความเครียดสูง-การออมลดลง ห่วง ผู้บริโภค-ชาวบ้าน ขาดสภาพคล่อง เหตุไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน เข้าถึงแหล่งเงินทุนทางการ หวั่น เกิดปัญหาหนี้นอกระบบ
วันที่ 8 พฤศจิกายน ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย แถลงข่าว “ผลกระทบน้ำท่วมและพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในวันลอยกระทง” โดยมี ผศ.ดร.เสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ดร.ยาใจ ชูวิชา ประธานคณะจัดทำผลสำรวจความคิดเห็นประเด็นธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ร่วมแถลงข่าว ณ อาคารจุลินทร์ ล่ำซำ ถนนราชบพิธ
ผศ.ดร.เสาวณีย์ กล่าวถึงผลจากการสำรวจผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วม และพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในวันลอยกระทง จำนวน 1,224 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 1-5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ขณะนี้พบว่า บ้านเรือนของประชาชนได้รับถูกน้ำท่วมไปแล้ว 42.7% และในจำนวนดังกล่าวเป็นผู้ถูกน้ำท่วมตั้งแต่ 16-30 วันถึง 37.3% ส่วนในกรณีบ้านเรือนที่ยังไม่ถูกน้ำท่วมอีก 57.3% นั้น คาดการณ์ว่าในอนาคตจะมีโอกาสประสบภัยน้ำท่วมสูงถึง 50% ขณะเดียวกันมีการคาดการณ์ว่า สถานการณ์น้ำที่ท่วมอยู่ในปัจจุบัน จะส่งผลกระทบต่อพื้นที่อยู่อาศัยนานถึง 2 เดือน
“ขณะที่การเตรียมสินค้าจำเป็นไว้อุปโภคบริโภคพบว่า ประชาชน 48.3% มีการเตรียมสินค้าไว้อุปโภคบริโภค เป็นน้ำดื่ม 59.8% อาหารแห้ง 40.2% บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 35.5% และอื่นอีก 0.6% ฉะนั้น ในช่วงที่ผ่านมาจึงพบว่า น้ำดื่มขาดตลาด”
ผศ.ดร.เสาวณีย์ กล่าวถึงเหตุการณ์น้ำท่วมกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน 41.2% อย่างมาก ซึ่งในแง่ผลกระทบที่ได้รับนั้น เป็นผลกระทบด้านสุขภาพจิตและความเครียดสูงถึง 44.2% การออมลดลง 36.7% ความยากในการหาซื้อสินค้า 35.4% ในทางกลับกัน ผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศพบว่า สูงถึง64.2% ผลกระทบต่อเศรษฐกิจของจังหวัด 59.3% รายได้ 41% การทำงาน 46% ความเสียหายต่อทรัพย์สิน 48.6%
“เปรียบเทียบพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในปัจจุบัน กับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน พบว่า ใช้จ่ายลดลง 24.8% ใช้จ่ายเท่าเดิม 43.9% และใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 31.3% ขณะที่ความสามารถในการแบกรับค่าใช้จ่าย ในกรณีที่ไม่มีรายได้หรือไม่มีงานทำในช่วงน้ำท่วมนั้น คาดว่า จะสามารถประคับประคองการใช้จ่ายได้ประมาณ 1.9 เดือนเท่านั้น ซึ่งหากสถานการณ์ยืดเยื้อรายได้ไม่พอกับรายจ่าย 34.8% ตัดสินใจที่จะกู้ยืม โดยยินดีจ่ายดอกเบี้ยในอัตราสูง หากจำเป็นจริงๆ ขณะที่ 29.8% จะนำเงินออมออกมาใช้ 21.2% จะขายหรือจำนำทรัพย์สิน เพื่อให้มีสภาพคล่อง เป็นต้น
ส่วนแนวโน้มการการตัดสินใจดำเนินการใช้จ่ายในข้าง 3 เดือนข้างหน้า พบว่า ในเรื่องของการซื้ออาหารการกิน จะมีการใช้จ่ายมากถึง 71.2% ขณะที่การซื้อสินค้าอุปโภคจะมีมากสุด66.6% เฟอร์นิเจอร์/ของตกแต่งบ้าน มากสุด 55.9% การซ่อมแซมบ้าน มากสุด 52.8% และซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า/อุปกรณ์ภายในบ้าน 39% ส่วนตัวเลขการใช้จ่ายที่มีแนวโน้มน้อยลง คือ ในส่วนของความบันเทิงนอกบ้านและการท่องเที่ยว
สำหรับสิ่งที่ประชาชนต้องการให้รัฐบาลดูแล ช่วยเหลือหลังน้ำลด 5 อันดับแรกนั้น ผศ.ดร.เสาวณีย์ กล่าวว่า 1.การให้เงินชดเชยค่าเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ทำกิน บ้านเรือนหรือทรัพย์สิน2.วัสดุอุปกรณ์ซ่อมแซมบ้านราคาถูก 3.ช่วยเหลือ จัดหาอุปกรณ์ทำมาหากิน 4.ฟื้นฟูพื้นที่เกษตรกรรม 5.เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ และไม่ควรมีหลักทรัพย์คำประกัน
อย่างไรก็ตาม ผศ.ดร.เสาวณีย์ กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า สำหรับสิ่งที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเป็นห่วงมากที่สุด คือ กลุ่มผู้บริโภค ประชาชนคนทั่วไปที่ลำบาก ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ไม่มีปัญญาเข้าถึงแหล่งเงินทุนทางการและยังไม่โอกาสเข้าถึงมาตรการเยียวยาของภาครัฐ ไม่ว่าจะมาตรการทางภาษี การช่วยเหลือในเรื่องการลดมูลค่าสิ่งที่ต้องลงทุน เนื่องจากเปิดร้านตัดเย็บ เป็นช่างซ่อมเล็กน้อยๆ ไม่ได้จัดทะเบียนใดๆ ทั้งสิ้น แต่อุปกรณ์ในการทำมาหากินสูญหายไปหมด ดังนั้น กรณีดังกล่าว ควรมี ‘ไมโครไฟแนนซ์’ ซึ่งเป็นแหล่งเงินทุนที่มีขนาดเล็กกว่าเอสเอ็มอี เข้าไปดูแลระดับปัจเจกบุคคลที่ประกอบอาชีพ เลี้ยงดูครอบครัว ให้มีสภาพคล่อง เพราะไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหาหนี้นอกระบบตามมา
“ที่ผ่านมาเราพูดถึงภาคอุตสาหกรรม นิคมอุสาหกรรมกันมาก ทำให้มูลความเสียหายมีขนาดใหญ่ถึง 3-4 แสนล้านบาท แต่ข้อเท็จจริงคือ ถึงแม้เราจะสามารถฟื้นนิคมอุตสาหกรรมและส่งออกกลับคืนมาได้ แต่หากกำลังซื้อภายในประเทศลดลง ประชาชนไม่ได้รับการเยียวยา ยังขาดแคลนและอดอยาก เศรษฐกิจก็จะยากที่จะฟื้นตัวได้”
ขณะที่ ดร.ยาใจ กล่าวว่า หากไม่มีสถานการณ์น้ำท่วมเกิดขึ้น คาดว่า มูลค่าใช้จ่ายในวันลอยกระทงปีนี้จะอยู่ที่ 10,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1,000 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์น้ำปีนี้ไม่รุนแรงมากขึ้น อัตราการขยายตัวจะติดลบแค่ 16.5% โดยมูลค่าการใช้จ่ายโดยรวมจะอยู่ที่ 8,100 ล้านบาท”
ด้าน ผศ.ดร.ธนวรรธน์ กล่าวว่า สถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ถือเป็นวิกฤตการทางเศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุดในรอบ 15 ปีรองจากวิกฤตเศรษฐกิจ ‘ต้มย้ำกุ้ง’ เนื่องจากสร้างความเสียหายทุกหย่อมหญ้า พื้นที่เกษตรกรรมเสียหาย 10 ล้านไร่ ดังนั้น การชดเชยเยียวยาที่รัฐบาลประกาศว่า จะชดเชย 50,000 บาทต้องทำอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกลุ่มที่บ้านพัง รายได้น้อย นอกจากนี้การหางานเสริมให้กับเกษตรกรและการฟื้นฟูธุรกิจเอสเอ็มอีก็ถือว่ามีความสำคัญ เพราะจะทำให้การจ้างงานกลับคืนมา ไม่เช่นนั้นตัวเลขการว่างงานจะอยู่ที่ประมาณ 1-3 แสนคน ซึ่งห่างร่วมกับการว่างงานชั่วคราว ตัวเลขการว่างงานน่าจะสูงถึง 6-7 แสนคน
“ขณะที่ความเสียหายจากสถานการณ์น้ำท่วมในด้านทรัพย์สิน อาทิ บ้านเรือน รถยนต์ โรงงานอุตสาหกรรม น่าจะมีมูลค่าประมาณ 0.7-1 ล้านล้านบาท ส่วนความเสียหายในเชิงโอกาสของการหารายได้ น่าจะอยู่ที่ประมาณ 3.5-4.5 แสนล้านบาท ซึ่งตัวเลขดังกล่าวคาดว่าจะมีผลต่อเศรษฐกิจไตรมาสสุดท้ายของปี ดังนั้น ถ้าฟื้นฟูเยียวยาได้เร็ว เศรษฐกิจในปี 2555 ก็จะฟื้นตัวได้ดีขึ้น
ทั้งนี้ ผศ.ดร.ธนวรรธน์ กล่าวถึงระบบการจัดการและเยียวยาของรัฐบาลในขณะนี้ด้วยว่า ยังไม่ครอบคลุมเกษตรกร ลูกจ้างรายวัน ที่ทรัพย์สินเสียหาย ไม่หลักทรัพย์ค้ำประกันในการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ ดังนั้น ภาครัฐต้องเข้ามาดูแลในส่วนดังกล่าวมากขึ้น ไม่เช่นนั้นหากประชาชนต้องไปกู้ยืมเงิน ขายหรือจำนำทรัพย์สิน จะก่อให้เกิดภาระหนี้สิ้น รวมถึงหนี้นอกระบบมากขึ้น
รายละเอียดผลสำรวจ "ผลกระทบน้ำท่วมและพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในวันลอยกระทง"