- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- เล็งยื่นจดหมายด่วนถึงนายกฯ ขอตรวจก่อนสูบน้ำกู้นิคมฯ
เล็งยื่นจดหมายด่วนถึงนายกฯ ขอตรวจก่อนสูบน้ำกู้นิคมฯ
ตัวแทนกลุ่มชุมชนนิคมฯ โรจนะ-บางปะอิน ฉะรัฐมีนโยบายกู้นิคม- แต่ไม่กู้ชีวิตชาวบ้าน ด้านนักวิชาการ ยัน โรงงานต้องเปิดเผยข้อมูลสารเคมี พร้อมตรวจสอบน้ำก่อนสูบออกนอกบริเวณ
วันที่ 9 พฤศจิกายน คณะกรรมาธิการด้านการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร ร่วมกบ คณะอนุกรรมการสิทธิชุมชน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มูลนิธิบูรณะนิเวศ มูลนิธิเอเชีย และสำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า จัดงานเสวนาหาทางออก “กู้นิคมฯอย่างไรให้ปลอดภัย” ณ มูลนิธิเอเชีย ถ.คอนแวนต์ สีลม กรุงเทพฯ
ตัวแทนกลุ่มจากชุมชนนิคมอุตสาหกรรมโรจนะและบางปะอิน เปิดเผยว่า จากการที่รัฐบาลประกาศจะกู้นิคมอุตสาหกรรม ทำให้คนในชุมชนรอบๆนิคมฯ เกิดความวิตกกังวล เรื่องสารเคมีที่จะปนเปื้อนมาในน้ำ ซึ่งเมื่อ 2 วันที่ผ่านมาทางนิคมฯบางปะอิน โรจนะ และไฮเทค เริ่มทำการสูบน้ำออกแล้ว โดยไม่มีหน่วยงานใดๆเข้ามาให้ข้อมูลหรือบอกล่วงหน้า จึงสร้างความเดือดร้อนให้กับชุมชนโดยรอบเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากระดับน้ำยังไม่ลดลง แถมยังเพิ่มขึ้นจากการสูบน้ำออกจากนิคมฯอีกด้วย
“รัฐบาลมีนโยบายกู้นิคมฯ แต่กลับไม่มีนโยบายกู้ชีวิตชาวบ้าน ซึ่งแม้ว่านิคมฯจะสูบน้ำออกไปทุ่งนา แต่ในเมื่อน้ำไม่มีที่จะระบายออกจึงวนกลับเข้ามาในชุมชนอีก ทำให้น้ำเน่าเสียมาขังอยู่บริเวณบ้าน และมีสารเคมีปนเปื้อนมาด้วย ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนจากคราบน้ำมัน ที่ติดอยู่ตามบ้านเรือนหรือขยะที่ลอยมากับน้ำ”
ขณะที่ นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ประธานคณะอนุกรรมการสิทธิชุมชนในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า รัฐบาลต้องทำงานอย่างรอบคอบ และครอบคลุม รวมถึงต้องมีการสื่อสารที่ถูกต้อง ชัดเจนให้กับประชาชนด้วย ซึ่งสิ่งแรกที่รัฐบาลควรทำควบคู่ไปกับการกู้นิคมอุตสาหกรรม ก็คือ การเข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย
"สิ่งที่เราต้องการในขณะนี้คือ ทำอย่างไรจะทำให้การทำงานของรัฐบาลมีมุมมองที่กว้างขึ้น แต่ไม่ใช่ในมิติเป็นการวิพากษ์วิจารณ์หรือตำหนิติเตียน แต่ต้องเป็นเวลาที่ทุกภาคส่วนต้องเข้ามามีส่วนร่วม โดยต้องยึดหลักความเสมอภาคของผู้ที่มีส่วนได้เสียเป็นสำคัญ ไม่ใช่มองแต่ภาคธุรกิจเอกชนอย่างเดียว แม้ความจริงภาคเอกชนทำรายได้ให้กับประเทศได้หลายแสนล้านบาท แต่หาการายได้ตรงนั้นนำมาซึ่งผลกระทบต่อชีวิต และชุมชนที่ล้มสลายในพื้นที่อาณาบริเวณใกล้เคียงกับพื้นที่กรุงเทพมหานคร นั่นเป็นสิ่งที่ตอกย้ำการใช้ประสิทธิภาพการทำงานของรัฐบาาล"
นอกจากนี้ นักวิชาการที่เข้าร่วมเสวนา มีความคิดเห็นตรงกัน ว่า สิ่งสำคัญอันดับแรกในการกู้นิคมฯ คือ ทางโรงงานหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องแสดงความโปร่งใส โดยการเปิดเผยข้อมูลสารเคมีที่มีอยู่ในโรงงานทั้งหมด ว่าแต่ละโรงงานมีการใช้เคมีอะไรบ้าง ใช้ไปเท่าไหร่ และคงเหลืออยู่ในสต๊อกเท่าไหร่ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลทั่วไปที่ทางโรงงานต้องรู้ เพื่อเป็นการมุ่งเป้าในการตรวจสอบสารเคมีในน้ำที่สูบออกจากนิคมฯ และนอกจากนี้ในส่วนของการตรวจสอบต้องมีปัจจัย 3 ข้อ คือ 1.ต้องดูอัตราการเจือจางของสารเคมีในน้ำ 2.ความเข้มข้นของสารที่ทิ้งออกไป และ 3. ชนิดของสารเคมีที่ทิ้งออกไป ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงที่สุด เพราะบางชนิดอาจเป็นพิษและส่งผลกระทบในระยะยาวได้
จากนั้น ในเวทีมีการจัดทำข้อเสนอเร่งด่วนถึง ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี เรื่องขอให้ตรวจสอบสารอันตราย ขยะอันตราย ก่อนการสูบน้ำเพื่อกู้นิคมอุตสาหกรรมทั้งหมด โดยมีสาระสำคัญดังต่อไปนี้
1 ทุกฝ่ายเห็นด้วยอย่างยิ่งต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยการกู้นิคมอุตสาหกรรมทั้งหมดที่ถูกน้ำท่วม เพื่อให้แรงงานมีงานทำและสร้างความเชื่อมั่นต่อต่างประเทศ
2 เนื่องจากในนิคมอุตสาหกรรมแต่ละแห่งมีโรงงานที่มีสารเคมีและขยะอันตราย ทั้งที่เก็บสำรองและอยู่ระหว่างการดำเนินการผลิตจำนวนมาก ขณะที่น้ำท่วมมาอย่างฉับพลัน รวมทั้งของเสียที่อยู่ในกระบวนการบำบัด ดังนั้นก่อนการสูบน้ำออกสู่ชุมชน รัฐบาลจำเป็นต้องมีการตรวจสอบข้อมูลและมีกระบวนการตรวจสอบความเป็นอันตรายในทางวิชาการอย่างครบถ้วนชัดเจน รวมถึงมีการจัดการก่อนปล่อยสู่แวดล้อมภายนอก ทั้งนี้โดยอาศัยข้อมูลสารอันตรายที่ใช้อยู่ในแต่ละโรงงานของแต่ละนิคมประกอบในการประเมินความเสี่ยงและติดตามตรวจสอบ
3 ให้มีนักวิชาการและภาคประชาชนเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการในกระบวนการตรวจสอบ เพื่อประเมินข้อมูลและประเมินผลตรวจสอบในแต่ละนิคม เพื่อป้องกันผลเสียต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม และสร้างความเชื่อมั่นต่อทุกภาคส่วน
4 ในระหว่างรอการฟื้นฟูนิคมฯ ขอให้รัฐบาลรับผิดชอบดูแลแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วม
5 ให้รัฐบาลมีมาตรการที่ชัดเจนในการดูแลชุมชนที่อยู่รอบนิคมอุตสาหกรรมที่ถูกน้ำท่วม โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการในการเก็บกู้ของเสียอันตราย (ขยะอุตสาหกรรม) ที่หลุดรอดออกมาก่อนหน้านี้
6 สำหรับโรงงานที่อยู่ในและนอกนิคมอุตสาหกรรม และศูนย์บำบัดของเสียอันตราย ที่อาจถูกน้ำท่วม ขอให้รัฐบาลมีมาตรการป้องกันการรั่วไหลของสารเคมีและของเสียอันตรายอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ