- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- เช็คบิล รบ. บริหารน้ำล้มเหลว “ศ.ศรีราชา” ชี้ ปชช.ร้องเรียนผ่านผู้ตรวจการแผ่นดินได้
เช็คบิล รบ. บริหารน้ำล้มเหลว “ศ.ศรีราชา” ชี้ ปชช.ร้องเรียนผ่านผู้ตรวจการแผ่นดินได้
ผู้ตรวจการแผ่นดิน ยันชะลอหยิบเรื่องฟ้องรัฐบาลขึ้นพิจารณา เหตุขาดความชัดเจน ชั่งใจลำบาก ชู ‘บิ๊กแบ๊ก’กรณีศึกษาใครผิด ใครถูก รัฐบาลพยายามทำหน้าที่-ประชาชนรื้อ
ศ.ศรีราชา เจริญพานิช ผู้ตรวจการแผ่นดิน ให้สัมภาษณ์กับ “ศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทย” เกี่ยวกับการใช้ช่องทางของผู้ตรวจการแผ่นดินในการฟ้องร้องรัฐบาล กรณีการบริหารจัดการน้ำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน ว่า ในกรณีที่มีการร้องเรียนโดยประชาชนให้มีการตรวจสอบการปฏิบัติการณ์ของรัฐบาลที่อาจทำให้น้ำท่วมนั้น ที่ผ่านมาก็มีการสอบถามเข้ามามาก ซึ่งโดยอำนาจหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดินนั้น สามารถที่จะเข้าไปดำเนินการในกรณีดังกล่าวได้ เนื่องจากเป็นเรื่องเกี่ยวกับการละเลยการปฏิบัติหน้าที่ หรือไม่ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ และก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน ซึ่งวิธีการสอบสวนนั้นก็จะดำเนินการไปตามกระบวนการปกติ ไม่ถึงขั้นต้องมีการตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นมาเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงแต่อย่างใด
ส่วนกรณีที่ทางผู้ตรวจการฯ จะหยิบยกเรื่องดังกล่าวขึ้นมาพิจารณาด้วยตนเองนั้น ศ.ศรีราชา กล่าวว่า สำหรับการปฏิบัติในแนวทางดังกล่าวนั้น เป็นเรื่องที่ผู้ตรวจการฯ ให้ความสนใจ แต่ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนที่เห็นอย่างชัดแจ้งว่า รัฐบาลปล่อยปละละเลยหรือกระทำผิด และถึงแม้จะมีเสียงกระเส็นกระสายว่า มีเรื่องการเมืองเข้ามาแทรก แต่ตราบใดที่รัฐบาลยังมีความพยายามในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ได้ปล่อยปละละเลยที่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนโดยตรง ผู้ตรวจการแผ่นดินจะยังคงชะลอเรื่องนี้ไว้ก่อน รอให้ข้อเท็จจริงชัดเจนมากขึ้น จึงอาจจะหยิบมาพิจารณา
“ขณะนี้ในบางกรณี อย่างเช่น บิ๊กแบ็กก็ยังไม่มีความชัดเจนว่า การสั่งการของรัฐบาลก่อให้เกิดความเสียหายโดยตรงหรือไม่ เพราะต้องยอมรับว่า มีทั้งคนที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ ก่ำกึ่งทั้งสองฝ่าย ทำให้ชั่งใจลำบากว่า ถูกหรือไม่ถูก ขณะเดียวกันกรณีบิ๊กแบ๊กยังมีปัญหาแทรกซ้อน นั่นคือ การที่ประชาชนลุกขึ้นมารื้อ ต่อต้าน ซึ่งนั่นก็จะไม่ใช่ความผิดของรัฐบาล เพราะเมื่อรัฐบาลพยายามทำอยู่ แต่ประชาชนไม่พอใจลุกขึ้นมารื้อ อาจทำให้เกิดความไม่ชัดเจนว่า เป็นความผิดของใครกันแน่ รัฐบาลอาจไม่ได้เป็นคนก่อโดยตรง แต่ประชาชนมีส่วนที่ก่อและทำให้เหตุการณ์ร้ายแรงยิ่งขึ้น ซึ่งก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องพิจารณา”
อย่างไรก็ตาม ศ.ศรีราชา กล่าวด้วยว่า หากประชาชนต้องการใช้ช่องทางของผู้ตรวจการแผ่นดินก็สามารถร้องเรียนเข้ามาได้ ซึ่งหลังจากรับข้อร้องเรียนแล้ว ผู้ตรวจการแผ่นดินตรวจสอบและทำคำแนะนำไปยังหน่วยงานนั้นๆ ว่าควรจะปฏิบัติอย่างไร แต่ทั้งนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดินไม่มีอำนาจตัดสินชี้ขาดว่า จะต้องชดเชยค่าเสียหายเท่าไหร่ อย่างไร เพราะเรื่องดังกล่าวต้องไปฟ้องร้องยังศาลแพ่ง ศาลปกครอง
“ขณะเดียวกันในปัจจุบันก็มีกระแสข่าวที่ว่า จะนำคดีเรื่องดังกล่าวไปฟ้องต่อศาลปกครอง ซึ่งก็น่าจะฟ้องได้และศาลก็น่าจะรับ ดังนั้น คงต้องติดตามต่อไปถึงการพิจารณาของศาลปกครองว่า จะเป็นเรื่องความประมาทหรือว่าการละเลยเพิกเฉย ซึ่งหากสมมุติว่า ศาลตัดสินให้รัฐบาลแพ้คดี คงกลายเป็นเรื่องใหญ่ และก่อให้เกิดปัญหากับรัฐบาล ในแง่ที่ว่าจะมีปัญญาจ่ายหรือไม่ ในเมื่อความเสียหายที่เกิดขึ้น อาจเป็นหลักหมื่นหลักแสน มากกว่าที่รัฐบาลมีนโยบายเยียวยาครอบครัวละ 5,000 บาท ในทางกลับกัน การพิสูจน์เรื่องดังกล่าว ศาลปกครองต้องมีความชัดเจนว่ารัฐบาลปล่อยปะละเลย หรือประมาทเลินเล่อ จนสร้างความเสียหายเกิดขึ้นจริง รัฐบาลจะต้องรับผิด ดังนั้น จึงต้องขึ้นอยู่กับการพิสูจน์ของศาล”
อย่างไรก็ตาม วันนี้ (15 พ.ย.) ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงความคืบหน้า การฟ้องร้องรัฐบาลเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพ จนเกิดภาวะน้ำท่วมอย่างหนักในหลายพื้นที่ว่า ผู้ได้รับความเดือดร้อนสามารถแจ้งความเดือดรัอนได้ที่สภาทนายความสาขาต่างๆ ทั่วประเทศ โดยนำบัตรประจำตัวประชาชน และหลักฐานแสดงความเสียหาย เช่น ภาพถ่าย หรืออย่างอื่น มาแจ้งได้หรือติดต่อให้ทางทีมงานลงไปเก็บรวบรวมข้อมูลหลักฐานทั้งหมดเพื่อนำไปฟ้องร้องต่อศาล เพื่อให้หน่วยงานรัฐต่างๆ ในที่นี้ เช่น ศปภ. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมชลประทาน และ กทม. เพื่อชดใช้ค่าเสียหายได้
ดร.ณรงค์ กล่าวว่า เนื่องจากผู้เสียหายจากภัยน้ำท่วม ความเสียหายมีความหนักเบาไม่เหมือนกัน ดังนั้น หากศาลมีคำสั่งให้ชดใช้ค่าเสียหายจริงก็คงได้ไม่เท่ากัน ปกติคนที่เสียหายหนักน่าจะได้มาก ส่วนที่เสียหายน้อยกว่าก็ต้องลดไปตามส่วน เนื่องจากต้องดูไปตามกรอบที่กำหนด แบ่งเป็น 4 ข้อ 1.ความเสียหายด้านจิตใจ 2.ความเสียหายด้านทรัพย์สิน 3.ความเสียหายเรื่องการเสียโอกาส เช่น โอกาสในการหารายได้ โอกาสการทำงาน และ 4.ความเสียหายที่เกิดจากการชดใช้หนี้สิน เนื่องจากที่บ้านถูกน้ำท่วม เป็นต้น