- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ปภ.แจง รัฐบริหารตามอำนาจ-พื้นที่เส้นทางน้ำต้องทำใจ
ปภ.แจง รัฐบริหารตามอำนาจ-พื้นที่เส้นทางน้ำต้องทำใจ
ปิดช่องเรียกค่าชดเชย ม.43 พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ปภ.แจง รัฐบริหารตามอำนาจ-พื้นที่เส้นทางน้ำต้องทำใจ นักกฏหมาย เผยไล่บี้ จนท.ได้ หากพิสูจน์ชัด บริหารจัดการน้ำโดยจงใจ-ประมาทเลินเล่อร้ายแรง
จากกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับ การดำเนินการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของเจ้าหน้าที่รัฐ กรณีการวางแนวกระสอบทรายขนาดใหญ่ (บิ๊กแบ็ก) เพื่อชะลอน้ำว่า ที่อาจสร้างความเสียหายแก่ทรัพย์สินของประชาชนเพิ่มขึ้น และอาจเป็นเหตุให้ทางราชการต้องชดเชยความเสียหาย ตามมาตรา 43 พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 นั้น
แหล่งข่าวจากกรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า กรณีบิ๊กแบ๊กนั้น เป็นการดำเนินงานที่เป็นไปตามแนวนโยบายของภาครัฐในการบริหารจัดการสาธารณภัย อีกทั้งจะวางบิ๊กแบ๊กหรือไม่ น้ำก็ท่วมกรุงเทพอยู่ดี เนื่องจากเป็นไปตามธรรมชาติและทิศทางการไหลของน้ำ กล่าวคือ หากปล่อยไว้โดยที่รัฐไม่จัดการก็ถูกน้ำท่วมอยู่แล้ว แต่เมื่อรัฐเข้ามาจัดการ น้ำอาจท่วมมากหรือน้อยเท่านั้น ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐในขณะนั้นว่า จะคุ้มครองส่วนใด กรุงเทพฯ พื้นที่เศรษฐกิจ เป็นต้น
“ส่วนกรณีที่จะเข้าเงื่อนไขและได้รับการชดเชยตาม ม. 43 ผู้นั้นต้องไม่ได้เป็นผู้ประสบภัย แต่จะต้องเป็นผู้ที่ได้รับคราวเคราะห์จากการบําบัดภยันตรายจากสาธารณภัย เช่น น้ำท่วมที่กรุงเทพฯ แต่ผันน้ำไปที่จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งไม่ใช่พื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม หรือในกรณีที่เกิดเหตุไฟไหม้หมู่บ้านที่อยู่ในซอยลึก แต่บริเวณทางเข้าแคบ รถดับเพลิงขนาดใหญ่ไม่สามารถผ่านเข้าไปได้ จึงต้องทุบกำแพงบ้านทิ้ง เพื่อเข้าไปดับไฟ กรณีดังกล่าวจะได้รับการชดเชย 100%"
แหล่งข่าวจาก ปภ. กล่าวถึง พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยนั้น เป็นเรื่องของการให้สิทธิแก่รัฐในการดำเนินการต่างๆ เพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะและส่วนร่วม เพราะฉะนั้น จะเอาประโยชน์ส่วนตนมาเป็นหลักไม่ได้ อย่างไรก็ตาม แม้กรณีบิ๊กแบ๊กจะไม่เข้าเงื่อนไขตาม ม.43 แต่ผู้ประสบภัยจะได้รับการเยียวยาตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ.2546
เมื่อถามว่า เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ มีกรณีใดบ้างที่เข้าข่ายและสามารถเรียกค่าชดเชยได้ตาม ม.43 แหล่งข่าวจาก ปภ. กล่าวว่า ประเด็นหลักต้องดูว่า พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมนั้นเป็นทางน้ำหรือไม่ อย่างเช่น จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นทางน้ำ อย่างไรก็ตาม น้ำต้องไปถึงอยู่ดี เพียงแต่ช้าหรือเร็วเท่านั้น ทั้งนี้ อำนาจบริหารจัดการสาธารณภัยนั้น ก็เพื่อรักษาประโยชน์ของส่วนร่วม
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ผศ.ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความทางเฟชบุค http://www.facebook.com/kittisak.prokati?sk=wall ตอบคำถาม กรณีผู้ที่เดือดร้อน (รวมตัวกัน) ฟ้องศาลปกครองต่อ ครม. ทั้งคณะได้หรือไม่ เพื่อใช้กระบวนการของศาลไต่สวนหาความจริงว่า ภัยพิบัติครั้งนี้เกิดขึ้นจากคำสั่งทางปกครองที่ผิดพลาดหรือไม่ ว่า ประเด็นนี้อยู่ที่ความรับผิดของรัฐ ไม่ว่ารัฐบาลไหนถ้ามีพฤติกรรมแบบนี้ก็ควรรับผิด เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัย และถ้าสุดวิสัย ประชาชนก็ไม่มีสิทธิเรียกร้องใดๆ เพราะเป็นความเสี่ยงในการดำเนินชีวิตของตน นอกจากไปขอความกรุณาจากรัฐ ครอบครัวละ 5,000 บาท ซึ่งหากเป็นความประมาทเลินเล่อหน่วยงานของรัฐต้องรับผิด ถ้าประมาทเลินเล่อร้ายแรงเจ้าพนักงานผู้รับผิดชอบต้องถูกไล่เบี้ย แต่ถ้าถึงจงใจก็ต้องรับผิดชอบเป็นส่วนตัวด้วย
ผศ.ดร.กิตติศักดิ์ กล่าวถึงการจัดการน้ำครั้งนี้ ต้องพิเคราะห์ให้ดีว่า พลาดตั้งแต่ฝ่ายประจำยันฝ่ายการเมืองหรือไม่ เพราะแผนการจัดการน้ำนั้นมีอยู่ชัดเจน มีขีดกักเก็บสูงสุด จนถึงขีดอันตรายกำหนดไว้ล่วงหน้า ประสบการณ์ก็มี ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยก็ไม่ได้ต่างจากปีก่อน ๆ อย่างมีนัยสำคัญ แถมยังมีแผนป้องกันบรรเทาอุทกภัยซึ่งกำหนดไว้แล้วว่า ใครต้องทำอะไร ใครใช้ดุลพินิจ ดังนั้น การหาต้นเหตุจึงไม่ใช่เพื่อจะไปทะเลาะกัน แต่เพื่อหาว่าใครต้องรับผิดชอบต่อประชาชนผู้เสียหาย และแก้ปัญหาให้ถูกจุด
“ความรับผิดชอบในการใช้อำนาจบริหารราชการแผ่นดินธรรมดา กับกรณีการใช้อำนาจป้องกันภัยพิบัติ ได้รับความคุ้มครองแตกต่างกัน เพราะตามมาตรา 43 ของ พ.ร.บ. ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 กฎหมายได้คุ้มครองเจ้าพนักงานเอาไว้ว่า หากได้ดำเนินการไปตามอำนาจหน้าที่ และได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุและมิได้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ให้ผู้กระทำการนั้นพ้นจากความผิดและความรับผิดทั้งปวง”
พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 มาตรา 43 ให้ผู้บัญชาการ รองผู้บัญชาการ ผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ และเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยตามพระราชบัญญัตินี้ เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา และในการปฏิบัติการตามหน้าที่ดังกล่าว หากได้ดำเนินการไปตามอำนาจหน้าที่ และได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุและมิได้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ให้ผู้กระทำการนั้นพ้นจากความผิดและความรับผิดชอบทั้งปวง
ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง หากเกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของผู้ใด ซึ่งมิใช่เป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการบำบัดภยันตรายจากสาธารณภัยนั้น ให้ทางราชการชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นให้แก่ผู้นั้นตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง |