- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- สภาทนายความเร่งฟ้องรัฐภายใน 2 เดือน เชื่อไม่ใช่แค่ภัย "ธรรมชาติ"
สภาทนายความเร่งฟ้องรัฐภายใน 2 เดือน เชื่อไม่ใช่แค่ภัย "ธรรมชาติ"
อุปนายกสภาทนายความยืนยันพร้อมให้บริการประชาชนเต็มที่ ไม่ต้องมีหลักฐานครบก็ฟ้องได้ ทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา เชื่อความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากภัยธรรมชาติอย่างเดียว
นายเกรียงศักดิ์ วรมงคลชัย อุปนายกฝ่ายปฏิบัติการสภาทนายความ ในฐานะประธานคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชนผู้ประสบอุทกภัย ปี 2554 กล่าวว่า ทางคณะทำงานได้สรุปประเด็นที่ประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนสามารถยื่นเรื่องฟ้องร้องทางกฎหมายอันเนื่องมาจากภัยพิบัติดังกล่าวกับไว้ในเบื้องต้น 6 ประเด็น ได้แก่ 1.กรณีอุทกภัยเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล เช่น ทุพลภาพ สูญหาย และถึงแก่ความตาย 2.กรณีทรัพย์สินเสียหาย หรือสูญหาย 3.กรณีลูกจ้าง ผู้ใช้แรงงานในฐานะผู้ประสบภัยหรือผู้แทน 4.ในกรณีการขอพักชาระหนี้เพราะเหตุสุดวิสัย 5. ในกรณีที่ผู้ประสบอุทกภัยได้รับความเสียหายเพราะเหตุจากการกระทำการหรืองดเว้นกระทำการ 6.กรณีผู้ประสบภัยที่เกิดปัญหาข้อขัดข้องเกี่ยวกับสิทธิอันพึงได้รับจากการเยียวยาของหน่วยงานรัฐ
“ขณะนี้มีประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนในหลายจังหวัด เช่น กทม. นนทบุรีและปทุมธานี ที่เข้ามาฟ้องร้องและโทรเข้ามาปรึกษาเกี่ยวกับการดำเนินการฟ้องร้องทั้งรายเดี่ยวและรายกลุ่มประมาณ 30 ราย โดยที่ยังไม่มีผู้ฟ้องร้องในลักษณะผู้ประกอบกิจการหรือภาคเอกชน แต่เนื่องจากสถานการณ์น้ำในหลายพื้นที่ยังท่วมขังหนัก ประชาชนไม่สะดวกในการเข้ามาติดต่อก็สามารถโทรสอบถามได้ที่ 1667 และขอให้ผู้เดือดร้อนมั่นได้ว่าคณะทำงานจะยังไม่รีบปิดรับร้องเรียนอย่างแน่นอน”
นายเกรียงศักดิ์ กล่าวต่อว่า ผู้ที่เดือดร้อนไม่จำเป็นต้องรอให้มีหลักฐานครบ หากยังไม่มีรูปถ่ายสภาพบ้านก็สามารถเข้ามายื่นเรื่องไว้ก่อนได้ และทางสภาทนายความจะอำนวยความสะดวกให้ประชาชน ทั้งนี้ ชาวบ้านหรือผู้นำชุมชนสามารถตั้งโต๊ะรวบรวมผู้ร้องเรียนและข้อมูลนำส่งให้สภาทนายความก็ได้ เพื่อความทั่วถึงสะดวกต่อผู้เดือดร้อนที่ไม่สามารถเดินทางมาได้
“สำหรับการดำเนินการฟ้องจะพยายามทำให้ได้ภายใน 2 เดือน แต่บางคดีที่เป็นเรื่องง่าย มีหลักฐานข้อมูลชัดเจน เช่น คดีแพ่งธรรมดา ก็สามารถดำเนินการฟ้องร้องให้ได้เลย ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับประเด็นการละเลยปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานรัฐจะต้องใช้เวลาศึกษาอย่างละเอียด และเมื่อหลัง 2 เดือนไปแล้วคณะทำงานก็ยังรับฟ้องร้องไปเรื่อยๆ เพราะไม่ได้กำหนดของเขตการช่วยเหลือไว้”
นายเกรียงศักดิ์ กล่าวถึงความคืบหน้าในการรวบรวมข้อกฎหมายว่า เรื่องที่ผู้เดือดร้อนเข้ามายื่นฟ้องขณะนี้มีทั้งเรื่องการกักเก็บการพร่องน้ำของเขื่อน และการปฏิบัติตามพรบ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 และเรื่องอื่นๆ ซึ่งคณะกรรมการจะมีการประชุมทุกอาทิตย์เพื่อรวบรวมข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง และพิจารณาว่าประเด็นที่ชาวบ้านเข้ามาฟ้องร้องเกี่ยวข้องกับเรื่องใดบ้าง
“ประเด็นต่างๆ ที่มีการยื่นฟ้องเข้ามาแล้วเมื่อรับเรื่องมาแล้วจะส่งให้คณะกรรมการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ที่เป็นอนุกรรมการ ซึ่งแต่งตั้งมาจากคณะกรรมการหน่วยงานให้ดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ หากเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนที่เกี่ยวกับการละเว้นปฏิบัติหน้าที่จะส่งให้ ปปช.ดำเนินการ และหากพิจารณาพบว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐประมาทเลินเล่อร้ายแรงหน่วยงานของรัฐจะต้องชดใช้ค่าเสียหายด้วย แต่ถ้าหาเจ้าภาพไม่ได้ กระทรวงการคลังจะต้องเป็นผู้รับผิด โดยที่การฟ้องร้องครั้งนี้ค่อนข้างมั่นใจว่าจะสามารถทำได้อย่างเป็นรูปธรรม เนื่องจากที่ผ่านมาสภาทนายความเคยช่วยเหลือประชาชนได้เป็นพันรายในหลายคดี เช่น คดีสิ่งแวดล้อม”
ในกรณีที่รัฐบาลมีข้อโต้แย้งว่าสถานการณ์อุทกภัยเป็นผลจากภัยธรรมชาติ นายเกรียงศักดิ์ กล่าวว่า สถานการณ์นี้เป็นภัยธรรมชาติส่วนหนึ่งและเป็นเรื่องบริหารจัดการอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งการบริหารจัดการน้ำมีส่วนที่ต้องใช้ความระวัดระวังไม่ให้เกิดความเสียหายกับประชาชน ที่อ้างว่าเป็นภัยธรรมชาติแล้วปล่อยน้ำออกมาท่วมบ้านเมือง อย่างที่เป็นอยู่นี้จะเรียกว่าภัยธรรมชาติได้อย่างไร
“อย่างกรณีบิ๊กแบ็กเป็นเรื่องที่หน่วยงายรัฐทำเพื่อป้องกันสาธารณภัย เมื่อประชาชนไปรื้อก็มีส่วนผิด แต่ความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการการวางแนวบิ๊กแบ๊กก็เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ หน่วยงานรัฐต้องพยายามบริหารจัดการน้ำให้เป็นประโยชน์และไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนมากนัก ดังนั้น กรณีนี้ทางคณะทำงานได้พิจารณาแล้วว่าเงินช่วยเหลือ 5,000 บาทไม่เพียงพอสำหรับผู้ที่ต้องรับน้ำมากกว่าปกติ ซึ่งสามารถเข้ามายื่นเรื่องฟ้องร้องได้และรัฐบาลต้องชดเชยเงินส่วนนี้ให้”