- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- 'วิชา' ตอกย้ำทัศนคติการให้-รับสินบนหยั่งรากลึก คนไทยมองไม่ใช่เรื่องผิด
'วิชา' ตอกย้ำทัศนคติการให้-รับสินบนหยั่งรากลึก คนไทยมองไม่ใช่เรื่องผิด
ศ.(พิเศษ) วิชา ยัน เปลี่ยนทัศนคติต้องทำให้ครบรอบด้าน กฎหมาย-จริยธรรม ด้าน ตัวแทนภาคเอกชนเผย นักธุรกิจเกือบครึ่ง มอง ทุจริต-คอร์รัปชั่นเป็นวัฒนธรรมไทย-เงินใต้โต๊ะเป็นธรรมเนียม
เมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สัญญา ธรรมศักดิ์ จัดโครงการสัมมนา เรื่อง “ยุทธศาสตร์การเปลี่ยนทัศนคติของประชาชนให้ต่อต้านการทุจริต : การให้สินบนในภาครัฐ” ณ โรงแรมริชมอนด์ ถนนรัตนธิเบศร์ จังหวัดนนทบุรี
ศ.(พิเศษ) วิชา มหาคุณ กรรมการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตโดยใช้กลไกทางศาสนา กล่าวถึงการล้มล้างระบบการให้และรับสินบน ว่า ยังไม่มีทิศทางที่แน่นอน เนื่องจากการจะต่อต้านการให้และรับสินบน จะทำเพียงด้านของกฎหมายอย่างเดียวไม่มีทางสำเร็จ เพราะทุกวันนี้เหมือนเป็นวัฒนธรรมของประเทศไทยไปแล้ว นอกจากนี้ก็มีอีกหลายคนที่มองว่าเรื่องของการให้สินน้ำใจเป็นสิ่งที่ทำได้ เพราะเป็นการตอบแทนบุญคุณ
“รัฐไม่เคยเห็นว่าการให้สินบนเป็นเรื่องผิด โดยเฉพาะการให้สินบนในการค้าระหว่างประเทศ ที่มีมาตั้งแต่สมัยอดีต โดยถือว่ารัฐต้องการที่จะให้มีพ่อค้าเข้ามาค้าขายให้มากๆ จึงต้องมีการให้ของกำนัล สินน้ำใจ ซึ่งจุดนี้สร้างความไม่พอใจแก่ชาวตะวันตกเป็นอย่างมาก”
ศ.(พิเศษ) วิชา กล่าวอีกว่า ตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ 3 มาจนถึงปัจจุบัน ความคืบหน้าในการเปลี่ยนแปลงเรื่องดังกล่าวยังน้อยมาก นั่นเพราะมีแต่การเปลี่ยนตัวกฎหมาย แต่ไม่มีการเปลี่ยนทัศนคติที่หยั่งรากลึก ซึ่งปัญหาสำคัญคือ การนำเสนอเรื่องทัศนคติ ระบบคุณธรรมและจริยธรรมนั้น เพียงพอหรือยัง
“เพราะเราพยายามพร่ำสอนมานานว่า คนเราต้องมีคุณธรรม มีจริยธรรม แล้วถามว่าเปลี่ยนหรือไม่ ก็ยังคงมีการให้สินบน รับสินบนกันอยู่ และไม่เห็นว่าผิดด้วย จนกระทั่งมีการตั้ง ป.ป.ช. ขึ้นมาในปี 42 แล้วชี้ว่า การขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนเรานั้น ไม่ได้เป็นอันขาด ตามมาตรา 100”
กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวต่อว่า สิงคโปร์ เป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จในการเอาชนะการให้และรับสินบน เนื่องจากมีระบบตรวจสอบที่เข้มงวด โดยตรวจสอบตั้งแต่เริ่มเข้ารับราชการ เริ่มเป็นเจ้าหน้าที่ตั้งแต่ปีแรกว่ามีทรัพย์สินใดบ้าง ซึ่งหากมองย้อนกลับมาที่ประเทศไทย จะมีการตรวจสอบตอนที่เป็นอธิบดีไปแล้ว
“นอกจากการตรวจสอบที่เข้มงวดแล้ว ต้องไม่ทิ้งเรื่องของภาวะจิตใจ ต้องให้คนรู้จักคิดรู้จักไตร่ตรอง นั่นหมายถึง เราไม่สามารถทำอะไรอย่างเดียวได้ ต้องทำอย่างผสมผสาน ทั้งในด้านของคุณธรรมและจริยธรรม นอกจากที่ต้องสอนว่าเรื่องไหนดีหรือไม่ดีแล้ว ต้องสอนในเรื่องของการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวมด้วย ทั้งนี้หากมีการรวมกันจะทำให้การต่อต้านได้ผลมากยิ่งขึ้นแน่นอน”
ยกระดับสากล เน้นมาตรการลงโทษทั้งผู้ให้และผู้รับสินบน
ด้าน ศ. ดร.ภักดี โพธิศิริ กรรมการ ป.ป.ช. ประธานอนุกรรมการอำนวยการประสานการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต กล่าวว่า ก่อนหน้านี้เราให้ความสำคัญของการให้และรับสินบนในส่วนของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ แต่ปัจจุบันปรากฏว่า ไม่ใช่ แต่ได้บานปลายเข้าไปยังส่วนของเอกชนด้วย คือในภาคเอกชนก็เป็นประเด็นปัญหาใหญ่และต้องให้ความสำคัญเช่นเดียวกัน
“การให้และรับสินบน มาตรการที่จะป้องปรามในเรื่องนี้ โดยส่วนใหญ่แล้วจะยึดหลักจากทางตะวันตก มีการกำหนดโทษไว้ชัดเจน แต่จะเน้นเพียงผู้รับเพียงอย่างเดียว โดยไม่ค่อยให้น้ำหนักกับผู้ให้สักเท่าไหร่ และที่สำคัญ คนมักจะรู้สึกว่าการให้สินบนนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ผิด โดยเฉพาะหากเป็นการให้ที่ตอบแทนสินน้ำใจ หรือเป็นการตอบแทนบุญคุณ”
ศ. ดร.ภักดี กล่าวต่อด้วยว่า ที่ผ่านมาเราจะเน้นไปที่ผู้รับ ซึ่งตอนนี้แนวโน้มหรือมุมมองของสากลไม่เหมือนเรา เนื่องจากมาตรการการป้องปรามของสากลจะโฟกัสไปที่ผู้ให้ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เพิ่งจะเกิดขึ้น โดยทางสหรัฐฯต้องออกกฎหมาย FCPA เพื่อจะเล่นงานฝ่ายผู้ให้โดยเฉพาะ และหลังจากนั้นทางสหรัฐฯจึงไปกดดันประเทศในสหภาพยุโรปและประเทศยักษ์ใหญ่ทางด้านเศรษฐกิจ เช่น ญี่ปุ่นและออสเตรเลีย ให้ออกกฎหมายที่มีลักษณะเดียวกันออกมา ซึ่งเป็นกฎหมายที่เน้นการเอาโทษของผู้ให้สินบนเป็นหลัก และอีก 20 ปีต่อมาก็มีการต่อต้านการให้สินบน
“แนวโน้มในสากลมองว่าการที่จะเน้นมาตรการป้องปรามแต่เจ้าหน้าที่รัฐอย่างเดียวคงจะแก้ปัญหานี้ไม่ได้ทั้งหมด เพราะเหมือนเป็นการปรบมือข้างเดียว ฉะนั้นต้องไปเอาอีกฝ่ายหนึ่งด้วย” ศ.ดร.ภักดี กล่าวและว่า ขณะนี้ประเทศไทย ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านทุจริตแล้ว สิ่งที่ต้องดำเนินการ คือ การปรับแก้กฎหมายของเราเพื่อให้เป็นไปตามพันธะกรณี ตามอนุสัญญา ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมาเกี่ยวกับกฎหมายต่างๆที่สอดคล้องกับสากล ในส่วนของการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ที่ 3ควรมีการกำหนดให้ชัดเจนว่าต้องมีการปรับแก้กฎหมายเพื่อให้เป็นสากลโดยเร็ว เพื่อให้เรานั้น ไม่ตกขบวนรถไฟ
การลงโทษทางสังคม คือหัวใจสำคัญ
รศ. ดร.จุรี วิจิตรวาทการ ประธานอนุกรรกมารขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาคประชาสังคมและสื่อมวลชน กล่าวถึงเรื่องการให้สินบนในการเข้าเรียนโรงเรียนในปัจจุบันว่า ผู้ปกครองดิ้นรนที่จะลูกของตนได้เข้าโรงเรียนที่ดี ซึ่งวิธีการแก้ไขไม่ใช่เพียงการปลูกจิตสำนึก แต่ต้องหาวิธีการที่จะทำให้คุณภาพของโรงเรียนต่างๆดีขึ้นใกล้เคียงกัน
สำหรับเรื่องการทำงานร่วมกันระหว่างรัฐ ประชาชน และประชาสังคม นั้น รศ.ดร. จุรี กล่าวว่า เรื่องนี้ยังคงเป็นโจทย์ที่ท้าทายอยู่มาก เพราะประชาสังคมนั้นมีความเป็นอิสระ แต่สิ่งสำคัญที่จะช่วยได้คือต้องสร้างความเชื่อใจต่อกัน
“มาถึงจุดที่สังคมไทยไม่ควรที่จะมีการยอมรับว่าการติดสินบน ทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องที่รับได้ ขอแค่มีผลงาน ฉะนั้นทั้งหลายทั้งปวงถึงจุดที่ว่าต้องมีการปลูกจิตสำนึกของคนไทย เพื่อให้จิตสำนึกกลายเป็นวิถีชีวิต เพราะเมื่อเป็นวิถีชีวิตแล้ว พฤติกรรมก็จะตามมา”
รศ.ดร.จุรี กล่าวอีกด้วยว่า กลสำคัญในการต่อต้านคอร์รัปชั่นคือ ทุกส่วนต้องเข้มแข็งเท่าๆกัน กฎหมายต้องดีไม่มีช่องโหว่ การบังคับใช้กฎหมายต้องเป็นธรรม รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ และในขณะเดียวกัน การลงโทษทางสังคมเป็นหัวใจสำคัญ ในสังคมเองต้องไม่ยอมรับการทุจริตคอร์รัปชั่น และเกิดความรังเกียจในส่ิ่งที่ไม่ถูกต้อง และเมื่อมีการทุจริตคอร์รัปชั่น คนเหล่านั้นจะถูกกีดกัน บีบบังคับ และการลงโทษโดยสังคม โดยไม่ต้องพึ่งกฎหมาย ทั้งนี้ เรื่องจิตสำนึกของคนเป็นอีกเรื่องที่สำคัญ มนุษย์เราต้องมีจิตสำนึกอยู่ภายใจ มีจิตสำนึกที่คอยกำกับ รู้จักแยกแยะความรู้ผิด ชอบ ชั่ว ดี ล้มล้างระบบการให้และรับสินบน ว่า ยังไม่มีทิศทางที่แน่นอน เนื่องจากการจะต่อต้านการให้และรับสินบน จะทำเพียงด้านของกฎหมายอย่างเดียวไม่มีทางสำเร็จ เพราะทุกวันนี้เหมือนเป็นวัฒนธรรมของประเทศไทยไปแล้ว นอกจากนี้ก็มีอีกหลายคนที่มองว่าเรื่องของการให้สินน้ำใจเป็นสิ่งที่ทำได้ เพราะเป็นการตอบแทนบุญคุณ
คอร์รัปชั่นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในทุกๆปี
นายโสภณ จันเทรมะ ประธานกรรมการ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) นำเสนอรายงานผลการวิจัยเชิงสำรวจของ ป.ป.ท. เรื่อง ความคิดเห็นต่อสถานการณ์ทุจริตคอร์รัปชั่น โดยศึกษาจากประชากรทั่วไปในพื้นที่กรุงเทพฯ 1,686 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 17-18 มกราคม 2553 พบว่าประชากรส่วนใหญ่ 89.1% มองว่าสถานการณ์ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นในสังคมไทยปัจจุบันอยู่ในระดับรุนแรงถึงรุนแรงที่สุด โดยในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมาประชากร 67% รับรู้ว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐชั้นผู้น้อย เรียกรับผลประโยชน์ และ อีก 63.1% รับรู้ว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐนำทรัพย์สินของทางราชการไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว และ 62.7% รับรู้ว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐเอื้อประโยชน์ให้แก่บุคคลอื่นหรือบุคคลใกล้ชิดเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากทางราชการ
ทั้งนี้ จากตัวเลขส่วนใหญ่จะเห็นว่า ประชาชนคนไทยรับรู้ถึงสถานการณ์การทุจริตคอร์รัปชั่น ว่ามีความรุนแรง แต่แทนที่ตัวเลขของการยอมรับจะน้อยลง กลับเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ
“จากการสำรวจประชาชนทั่วไป ระหว่างวันที่ 4 มกราคม – 5 กุมภาพันธ์ 2554 พบว่า ทัศนคติของสาธารณชนต่อการยอมรับการทุจริตคอร์รัปชั่นที่เพิ่มขึ้น จาก 63.2% ในปี 2551 เป็น 64% และที่มากกว่านั้นคือทัศนคติได้กระจายไปสู่ประชาชนในทุกสาขาอาชีพแล้ว แม้แต่นักเรียนนักศึกษาเกินกว่าครึ่งหรือ 54.5% ที่ยอมรับได้ ส่วนข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจคิดเป็น 63.1% พนักงานบริษัทเอกชนคิดเป็น 62% พ่อค้า นักธุรกิจคิดเป็น 65.3% เกษตรกร รับจ้าง แรงงานทั่วไปร้อยละ 66.8% และกลุ่มผู้เกษียณอายุ 58.4% ต่างมีทัศนคติที่ยอมรับการทุจริตคอร์รัปชั่นด้วยเช่นกัน “
ด้าน นายทศพร รัตนมาศทิพย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ประธานชมรมตรวจสอบและป้องกันการทุจริต สมาคมธนาคารไทย ได้นำเสนอข้อมูลการสำรวจของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจของมหาวิทยาลัยของการค้า ที่ได้ทำการสำรวจนักธุรกิจ ข้าราชการการเงิน 1,933 คน ในปี 2554 พบว่านักธุรกิจเกือบครึ่งเห็นว่าการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นวัฒนธรรมไทย เงินใต้โต๊ะเป็นธรรมเนียม โดย 44% ของภาคธุรกิจ เห็นว่าการทุจริตคอร์รัปชั่น เป็นธรรมเนียม และ 20% เห็นว่าการให้สินน้ำใจเล็กๆน้อยแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นเรื่องที่ไม่เสียหาย
“นอกจากนี้ในส่วนของการดำเนินคดีของ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) พบว่าในปี 2553-2554 มีการดำเนินคดีกับบริษัทที่ ไม่เข้าข่ายธุรกิจคอร์รัปชั่นทั้งหมด 117 ราย ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าปริมาณร้องเรียนไม่ลดลง เห็นชัดจากสถิติการร้องเรียนกับ ป.ป.ช. เรื่องธุรกิจคอร์รัปชั่น จาก 2,000 เรื่อง ในปี 2551 เป็น 3,000 กว่าเรื่องในปีต่อๆมา”
นอกจากนี้ดัชนีค่าความโปร่งใส เป็นอีกเครื่องมือจะชี้วัดได้ว่าระดับการทุจริตต่อหน้าที่ในภาพรวมไม่ลดลงแต่อย่างใด กลับมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยค่าความโปร่งใสของประเทศไทยได้ระดับ 3.5 ,3.3 และ 3.5 ในปี 2551, 2552 และ 2553 ตามลำดับ