- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ฝนชุก เขื่อนปล่อยน้ำช้า นโยบายผันน้ำผิดแผก นักวิชาการ ชี้ ชนวนมหาอุทกภัย 54
ฝนชุก เขื่อนปล่อยน้ำช้า นโยบายผันน้ำผิดแผก นักวิชาการ ชี้ ชนวนมหาอุทกภัย 54
“อาจารย์ชัยยุทธ” เผย กทม. ป้องกันน้ำท่วมแบบปิดล้อม ต้นแบบความเห็นแก่ตัว ถาม ทุกจังหวัดเลียนแบบ สังคมจะอยู่กันได้อย่างไร ขณะที่น้ำท่วมไม่มีขอบเขต ไม่รู้จักจังหวัด อำเภอ ตำบล ด้านรองผอ.สกว. เผยปชช.ต้องการข้อมูลแค่ 3 ตัว ช่วงภัยพิบัติน้ำท่วม
วันที่ 22 พฤศจิกายน ศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง ร่วมกับสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ และเครือข่ายถมช่องว่างทางสังคม จัดโครงการสัมมนาสาธารณะ เรื่อง "ภัยพิบัติน้ำท่วมมิติใหม่ของสังคม" โดยในช่วงแรก รศ.ชัยยุทธ สุขศรี และรศ.ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ ภาควิชาวิศวกรรมแหล่งน้ำ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำเสนอภาพรวมมหาอุทกภัยที่เกิดขึ้น
รศ.ดร.สุจริต กล่าวถึงภาวะน้ำท่วมมีข้อมูลย้อนหลัง 5 เดือน (กรกฎาคม -พฤศจิกายน) ฝนเริ่มก่อตัวมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ตกหนักในพื้นที่จังหวัดน่าน เรื่อยมาถึงพิษณุโลก นครสวรรค์ และไหลลงถึงกรุงเทพฯ ซึ่งหากไปดูข้อมูลการกระจายของฝน พบว่า โดยภาพรวมฝนมีมากขึ้น 40% โดยตกมากสุดที่ในพื้นที่ลุ่มน้ำน่าน ปิง และพื้นที่คาบเกี่ยวระหว่างจังหวัดพิษณุโลกกันนครสวรรค์ อีกทั้งพบว่า ปริมาณน้ำฝนปีนี้ มีปริมาณมากกว่าค่าเฉลี่ยน้ำฝนตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ฉะนั้น ภาพรวมน้ำท่วมปีนี้จึงมีมูลเหตุส่วนหนึ่งจากภัยธรรมชาติจริง
ส่วนเรื่องการบริหารจัดการน้ำนั้น รศ.ดร.สุจริต กล่าวว่า ปกติบ้านเรามีระบบแม่น้ำปิง วัง ยม น่าน บึงนครสวรรค์ บึงบอระเพ็ด รวมทั้งเขื่อนชัยนาทเป็นหลักในการบริหารน้ำ โดยเขื่อนชัยนาทสามารถบริหารน้ำได้ในระดับ 3,000 ลบ.ม.เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถ้าเกินกว่านั้นจะเริ่มแบ่งน้ำไปทางซ้าย ทางขวา ลงแม่น้ำเจ้าพระยา อีกทั้งเมื่อน้ำไหลมาถึงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นจุดคอขอด น้ำจะไหลไปกองไว้ที่ทุ่ง เช่นเดียวกับน้ำจากป่าสัก ที่ไหลลงมาสมทบก็จะถูกพักไว้ที่ทุ่งเช่นกัน สิ่งเหล่านี้เป็นระบบธรรมชาติที่เรามีอยู่ เพื่อชะลอน้ำ ให้พอมีเวลาในการโรยออก
“แต่ปีนี้ฝนตกมาก โดยมีข้อสังเกตว่า การเบี่ยงน้ำซ้าย ขวาน้อยกว่าปกติ ซึ่งทางรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรฯ ชี้แจงว่า รอเวลาเพื่อการเก็บเกี่ยวข้าวอยู่ ทำให้น้ำแทนที่จะเริ่มผันในเดือนกันยายน ไปเริ่มผันกันช่วงต้นเดือนตุลาคม ดังนั้นน้ำส่วนใหญ่จึงไหลลงแม่น้ำเจ้าพระยาโดยตรง สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ประตูระบายน้ำบางโฉมศรีพัง ถือเป็นวิกฤตการณ์ใหญ่ ทำให้มวลน้ำไหลบ่าเข้าสิงห์บุรี ลพบุรี อยุธยาโดยตรง วิ่งเข้านนทบุรี จนเหนือการควบคุม”
รศ.ดร.สุจริต กล่าวถึงการผันน้ำว่า ตามทฤษฎีแล้ว น้ำจะต้องผันไปทางฝั่งตะวันออก ไปลงทางลาดกระบัง แต่ก็มีปัญหาในทางปฏิบัติ ทำให้น้ำมากองที่ปทุมธานี รังสิต จนข้ามคันเข้ารังสิต มาประชิดกรุงเทพฯ ขณะที่รัฐบาลมีนโยบายผันน้ำไปทางฝั่งตะวันตก ทำให้น้ำท่วมฝั่งตะวักตกมาก ดังนั้น นอกจากปัญหาเรื่องน้ำมากแล้ว การโรยน้ำ ถ่วงน้ำก็ยังไม่ดีพอ
“ขณะเดียวกันระบบการจัดน้ำของกรุงเทพฯ เป็นระบบสูบออก ออกแบบมาเพื่อป้องกันน้ำฝน หลักการคือกันน้ำนอกเข้า ที่ผ่านมา จึงไม่มีข้อขัดแย้งทางสังคม แต่ปีนี้สถานการณ์น้ำต่างจากปีก่อนๆ น้ำทะลักจากข้างนอก จนรัฐบาลและกรุงเทพฯ ขัดแย้งกัน บวกกับการจัดการของรัฐบาลที่ล่าช้า ก็ทำให้เกิดความเสียหายเช่นกัน”
ส่วนกรณีที่เขื่อนถูกมองเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาน้ำท่วมนั้น รศ.ดร.สุจริต กล่าวว่า เขื่อนภูมิพล ตามระบบดำเนินการตามเงื่อนไข กติกา ประเด็นเขื่อนสิริกิติ์ มีข้อสังเกตว่า มีการปล่อยน้ำช้าไปประมาณ 2 สัปดาห์ถึง 1 เดือน ถึงแม้จะมีข้อชี้แจ้งว่า น้ำท่วมอยู่ เขื่อนจึงต้องเก็บน้ำไว้ เพื่อลดภาระน้ำท่วมที่บางระกำ พิษณุโลก ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องทำการศึกษาต่อไป แต่อย่างไรก็ตามภาพรวมมหาอุทกภัยครั้งนี้ ปริมาณน้ำจากเขื่อนน่าจะมีบทบาท 10-20% ของมวลน้ำทั้งหมด ส่วนที่เหลือเป็นปริมาณน้ำฝน
“เรามีธรรมชาติที่ผิดปกติปีนี้ มีระบบโครงสร้างพื้นฐานซึ่งมีข้อจำกัด เช่น คูคลอง การบริหารจัดการแตกต่างจากปีก่อน ด้วยหลายสาเหตุ ขณะที่น้ำท่วมอย่างเฉียบพลัน และส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุน”
รศ.ดร.สุจริต กล่าวด้วยว่า สำหรับข้อเสนอนั้น ว่า มีหลายทางเลือกด้วยกัน กรณีไม่ทำอะไรเลย และถือเป็นโชคซวย หรือว่าจะซ่อม จัดระเบียบใหม่ สร้างระบบให้มีการรองรับน้ำถึงขนาด 6,000 ลบ.ม. เพื่อรองรับอนาคต รวมถึงมีการจัดรูปแบบการแก้ไขระดับตั้งแต่ระดับชุมชน จังหวัด ประเทศ ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องทางนโยบายของภาครัฐ ที่จะลงทุน สร้างกติกาใหม่ทางสังคม รวมถึงการสู้ธรรมชาติอย่างมีสติ และกระบวนการหาคำตอบ เราต้องสร้างกระบวนการยอมรับให้เกิดขึ้นในสังคมให้ได้
ผุด 5 แนวคิดลดความเสี่ยงช่วงน้ำท่วม
ขณะที่ รศ.ชัยยุทธ กล่าวถึงแนวคิดการลดความเสี่ยงในเรื่องของน้ำท่วม (Flood Risk Reduction) เบื้องต้นว่า มี 5 เรื่องที่สำคัญ คือ 1.ความไม่เข้าใจ (misunderstanding) ซึ่งจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้น ชี้ชัดว่า สังคมไทยขาดความรู้เกี่ยวกับเรื่องน้ำ โดยเฉพาะมิติเรื่องเวลาและสถานที่ เนื่องจากการเตรียมตัวในหลายพื้นที่ รวมถึงการตัดสินใจของภาครัฐในภาวะวิกฤต พบว่า หลายกิจกรรมมีการดำเนินการล่าช้ากว่าที่ควร
“2.ข้อมูลข่าวสารผิด หรือไม่ครบถ้วน ทั้งที่เรามีข้อมูลเรื่องน้ำตั้งแต่ปี 2448 นับรวมถึงปัจจุบันก็เป็นเวลาเกือบ 100 ปี ซึ่งน่าจะนำมาใช้ประโยชน์ได้บ้าง อีกทั้งข้อมูลวิธีป้องกันน้ำท่วมของกรมชลประทาน เขียนโดย ม.ล.ชูชาติ กำภู อดีตอธิบดีกรมชลประทานก็ระบุว่า ในเชิงสถิติแล้ว น้ำท่วมใหญ่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นในรอบ 50 ปี กอปรกับเมื่อวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศ จะพบว่า น้ำท่วมครั้งนี้สอดคล้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต น้ำท่วมไปถึงพื้นที่ที่เคยถูกน้้ำท่วมในอดีต ฉะนั้น กำลังเข้าไปตรวจสอบข้อมูลที่เราใช้ในการบริหารจัดการภัยพิบัติ ว่า นอกจากประเด็นเรื่องธรรมชาติแล้ว การบริหารจัดการมีส่วนไม่ดีด้วยหรือไม่”
รศ.ชัยยุทธ กล่าวต่อว่า 3.พยายามชักชวนสังคมตั้งคำถามว่า เรารับรู้เกี่ยวกับเรื่องน้ำถูกต้องหรือไม่ เรายังสามารถควบคุมน้ำท่วมได้หรือไม่ เลิกแนวคิดสู้กับน้ำ หรือจะปรับวิถีชีวิตให้อยู่กับน้ำได้ เพราะเห็นแล้วว่า น้ำในจังหวัดอยุธยามีปริมาณมากกว่าที่นิคมอุตสาหกรรมออกแบบระบบไว้ เพื่อรับมือ และ 4.พยายามนำเสนอองค์ความรู้ ให้คนรู้จักระบบนิเวศทางน้ำเส้นทางการไหลของน้ำของตนเอง รู้ว่าเราอยู่ในโครงสร้างการป้องกันน้ำท่วมแบบระบบพื้นที่ปิดล้อม (Polder systems)
“5.การรับรู้เกี่ยวกับเรื่องน้ำท่วม เช่น ระบบปิดล้อมที่บ้านเราเลือกใช้มาตั้งแต่ปี 2506 เช่นเดียวกับเมืองใหญ่ทั่วโลกนั้น เป็นวิธีการที่ในตำราระบุว่า เป็นวิธีที่เห็นแก่ตัว เน้นดูแลเฉพาะตัวเอง พื้นที่นอกคันก็เกิดปัญหาตามมา ขณะที่สังคม คนนอกคันไม่เคยตั้งคำถาม และขณะนี้นอกจาก กทม. แล้วทุกจังหวัดกำลังพยายามใช้ระบบดังกล่าว คำถามคือ สังคมเราจะอยู่กันได้หรือไม่ เมื่อทุกคนมองแต่เรื่องตนเอง ขณะที่น้ำท่วมไม่มีขอบเขต ไม่รู้จักจังหวัด อำเภอ ตำบล”
หยุดฝากความหวังไว้ที่รัฐจัดการภัยพิบัติ
ในช่วงท้าย ดร.สีลาภรณ์ บัวสาย รอง ผอ. สกว. กล่าวว่า เราไม่ควรฝากความหวังไว้ที่รัฐในเรื่องการจัดการภัยพิบัติ เพราะตั้งแต่การจัดการน้ำ เส้นทาง แหล่งพัก การขุดลอกลำคลอง การจัดการภัยพิบัติ แหล่งพักพิง การวางแผน นั้นเละมาก การให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และสิ่งที่รัฐไม่ได้คิดเตรียมการ ก็คือแผนฟื้นฟู
“ถามว่า การฉีดพ่น การกำจัดเชื้อรา ใครรู้บ้าง ความรู้ตรงนี้ สังคมต้องการแล้วในระดับครัวเรือน ดังนั้นจึงคิดว่า ภาครัฐประสบภัยพิบัติมาก่อนหน้านี้แล้ว ก่อนจะเจอน้ำท่วม เช่นระบบราชการที่แยกส่วน เป็นงานปราบเซียนมากหากต้องทำงานอย่างบูรณาการ”รอง ผอ. สกว. กล่าว และว่า ในต่างประเทศจะมองเห็นปัญหาที่ซับซ้อนได้ว่า ต่อไปภาครัฐจะไม่สามารถจัดการปัญหาได้ทั้งหมด จึงมีความพยายามนำภารกิจหลายเรื่องออกไปให้ภาคเอกชน ภาคประชาสังคมทำแทน เช่น เรื่องสหกรณ์ หรือหน่วยงานที่ทำงานเรื่องพัฒนาชุมชนต้องออกโรงนำหน้าในช่วงภัยพิบัติ
ดร..สีลาภรณ์ กล่าวด้วยว่า ขณะนี้สังคมไทยต้องการความรู้ ไม่ใช่งานวิชาการ เช่นการฉีดพ่น การกำจัดโรค หลังน้ำท่วม วิชาการที่ให้ประชาชนสามารถเตรียมความพร้อมให้ได้มากที่สุด เท่าที่เห็นช่วงแรกๆ รัฐประกาศพื้นที่เขตอพยพ ทั้งๆที่รัฐควรทำให้ประชาชน 99% อยู่ในบ้านตัวเองได้ ลดจำนวนคนที่อพยพ ซึ่งหากรัฐให้ข้อมูลที่ดีพอจะทำให้คนส่วนใหญ่อยู่บ้านและสามารถจัดการชีวิตตัวเองได้
“ประชาชนต้องการข้อมูลแค่ 3 ตัว ช่วงภัยพิบัติน้ำท่วม เขาต้องการรู้ว่า 1.น้ำจะมาเมื่อไหร่ 2.น้ำจะสูงเท่าไหร่ และ 3.น้ำจะอยู่นานเท่าไหร่ แต่แปลกทั้งกรุงเทพฯ คาดว่าน้ำจะไม่เกินเข่า แต่ความจริงไม่ใช่ บางที่ระดับน้ำเป็นเมตร แค่ข้อมูล 3 ตัวนี้ประชาชนจะสามารถการพึ่งพิงรัฐ ลดปัญหาอาหารไม่พอเพียง ศูนย์อพยพ โรคระบาด ลดได้อีกหลายปัญหา”