- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- อดีตรองนายกฯ แนะ กยน.-กยอ. ดึงชุมชนมีส่วนร่วมวางยุทธศาสตร์ชาติ-ลดความขัดแย้ง
อดีตรองนายกฯ แนะ กยน.-กยอ. ดึงชุมชนมีส่วนร่วมวางยุทธศาสตร์ชาติ-ลดความขัดแย้ง
อ.ไพบูลย์ เสนอใช้เวทีสานเสวนาหาข้อตกลง สร้างความเป็นธรรม-ลดความขัดแย้ง ช่วงมหาอุทกภัย เชื่อมีโอกาสขัดแย้ง หาก รบ.ตั้งมาตรฐานเยียวยา-ฟื้นฟู
นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และประธานกรรมการมูลนิธิหัวใจอาสา กล่าวกับศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทย ถึงวิธีการบริหารความเป็นธรรมเรื่องน้ำว่า หากพูดถึงความเป็นธรรม ดูจะเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าหากเปลี่ยนเป็นการเห็นพ้องต้องกัน และสามารถตกลงกันได้ น่าจะมีความเป็นไปได้มากกว่า เพราะเมื่อตกลงกันได้ นั่นก็คือความเป็นธรรม
“วิธีการที่สามารถใช้ในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ขณะนี้ และใช้กันมาหลายกรณีแล้ว ก็คือ การมานั่งพูดจากกัน ยกตัวอย่างกรณีที่เห็นชัดกรณีหนึ่งคือ ในเขตที่มีปัญหากันระหว่างชาวบ้าน 2 กลุ่ม ซึ่งปลัดอำเภอได้มาเป็นคนกลางไกล่เกลี่ย ระหว่างชาวบ้าน 2 กลุ่ม ที่อยู่เหนือและใต้บิ๊กแบ๊ก โดยในรอบแรกยืนคุยกัน ต่างคนต่างให้เหตุผลของตนเอง เพราว่า มีความอัดอั้นมีความกดดัน และมีความทุกข์ทั้งสองฝ่าย จึงไม่ได้ผลอะไร จนต่อมาจึงเกิดความคิดใหม่ ให้แต่ละฝ่ายส่งตัวแทนและค่อยๆพูดค่อยจากัน ในที่สุดก็จะตกลงกันได้ ซึ่งการตกลงกันได้ ไม่ใช่เพียงการปิดหรือเปิด แต่การที่จะตกลงกันได้ต้องมีปัจจัย และเงื่อนไขหลายข้อ”
นายไพบูลย์ เปรียบเทียบให้เห็นว่า เหมือนกับการตกลงทางธุรกิจ ที่บริษัท ก จะไปซื้อบริษัท ข ไม่ใช่แค่ซื้อหรือไม่ซื้อ ต้องมีการดูเงื่อนไขด้วยว่า มีอะไรบ้าง ราคาเท่าไร่ ซื้อเมื่อไหร่ รวมถึงสิทธิ์ต่าง ๆ การตกลงกันระหว่างชาวบ้านกันเอง หรือชาวบ้านกับรัฐบาลก็เช่นกัน ต้องมีหลายเงื่อนไข จะเปิดประตูระบายน้ำเท่าไหร่ อย่างไร แล้วจะปิดเมื่อไหร่ ที่เสียหายไปแล้วจะชดเชยอย่างไร รวมถึงคนที่ลำบากจะมีมาตรการช่วยเหลืออย่างไร สิ่งเหล่านี้อาศัยความใจเย็น ค่อยๆพูดค่อยๆจากัน ใช้เวทีสานเสวนา
“ สานเสวนา หมายถึง พูดคุยแบบพยายามที่จะหาข้อตกลง ไม่ใช่พูดคุยเพื่อจะด่าว่าใคร หรือเพื่อจะดูว่าใครผิดใครถูก แต่พูดคุยเพื่อจะหาว่า ถ้าตกลงกันได้ จะมีเงื่อนไขอะไรบ้าง ท้ายสุดก็จะได้ข้อเสนอของแต่ละฝ่าย มาเรื่อยๆ เช่น อาจมีทั้งหมด 10 ข้อ แต่สามารถตกลงกันได้แค่ 6 ข้อ เหลืออีก 4 ข้อ ก็ดูกันว่าจะสามารถขยายความได้อย่างไรจึงจะยอมรับและตกลงกันได้ทั้งสองฝ่าย”
ประธานกรรมการมูลนิธิหัวใจอาสา กล่าวถึงการจะแก้ปัญหาเรื่องความขัดแย้งช่วงภัยพิบัติ ซึ่งไปกระทบต่อความสุข ความทุกข์ของประชาชนนั้น หลักการสำคัญก็คือ การมีส่วนร่วมของประชาชน เฉพาะใครที่เกี่ยวข้องควรจะต้องเข้ามามีส่วนร่วม ตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุการณ์
“หากรัฐบาลและทางกรุงเทพฯ ใช้นโยบายการมีส่วนร่วมของประชาชน ตั้งแต่รู้ว่าจะมีปัญหาน้ำท่วมใหญ่ ก็จะสามารถช่วยได้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วควรจะเป็นนโยบายปกติ เป็นนโยบายที่ทำเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว” นายไพบูลย์ กล่าวและว่า การมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นหัวใจของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เป็นหัวใจของการพัฒนาบ้านเมือง และการพัฒนาที่ประชาชนจะอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกันได้
อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า กุญแจสำคัญของการพัฒนา และการแก้ปัญหาที่เป็นสาธารณะ คือการมีส่วนร่วมและการมีบทบาทสำคัญของประชาชน ฉะนั้นเรื่องน้ำ เป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดทั้งรัฐบาล กทม. รวมถึงพรรคฝ่ายค้าน ไม่มีความชัดเจนและหนักแน่นในเรื่องของการมีส่วนร่วมของประชาชน ทำให้รัฐบาลต้องมานั่งคิดเอง ทำเอง เดาใจประชาชน ว่า ชอบอะไรไม่ชอบอะไร
“อุทกภัยครั้งนี้ เราไม่ได้ทำเรื่องการมีส่วนร่วมจนเป็นปกตินิสัย เป็นวัฒนธรรม ซึ่งยังไม่สาย สามารถเริ่มต้นทำได้ เช่น เมื่อรู้ว่ามีปัญหา ทุกเขตใน กทม.และทุกเขตการปกครองส่วนท้องถิ่นในต่างจังหวัด ก็ให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการช่วยกันวางแผน ว่าจะรับมือกับอุทกภัยอย่างไร เรื่องโครงสร้างพื้นฐาน คลองที่มีอยู่ตื้นเขิน ต้องขุดเพิ่มหรือไม่ ขยะจะจัดการอย่างไร วิธีป้องกันน้ำท่วม รวมถึงการเตรียมอพยพอย่างเป็นระบบ และแม้กระทั่งช่วงเกิดเหตุมีคนมาช่วยเหลือ ก็ต้องเตรียมระบบรับความช่วยเหลืออย่างไรเพื่อแจกจ่ายให้อย่างทั่วถึง เป็นต้น ทั้งหมด ต้องทำแต่เนิ่นๆ”
เมื่อถามถึง บทบาทของ คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) และ คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) กับการแก้ปัญหาความขัดแย้ง้ในขณะนี้ อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะกรรมการทั้ง 2 ชุด ที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้น ควรอย่างยิ่งที่จะต้องใช้หลักการมีส่วนร่วมของประชาชน เข้ามาช่วยในการวางยุทธศาสตร์ รวมถึงวิธีปฏิบัติด้วย
“ยุทธศาสตร์เป็นเรื่องภาพใหญ่ แต่ถ้าพูดถึงวิธีปฏิบัติจะเป็นเรื่องของภาพย่อย ในมิติของชุมชน ระดับท้องถิ่น ซึ่งคนที่รู้ดีคือคนในท้องถิ่น เช่น ในบางพื้นที่ ทางกรุงเทพฯ ไม่รู้ว่าน้ำจะท่วม แต่ถ้าเป็นคนในท้องที่จะรู้ว่าตรงจุดนี้คือจุดที่มีความเสี่ยงน้ำจะท่วมสูง ฉะนั้นควรจะทำอะไรไว้ก่อน อีกทั้งต้องมีการเตรียมการในปีหน้าด้วย”
นายไพบูลย์ กล่าวด้วยว่า ปัญหาความขัดแย้ง การบรรเทาทุกข์ รวมถึงเรื่องเยียวยาและการฟื้นฟู ต้องใช้การมีส่วนร่วมของประชาชนด้วย ดีกว่า รัฐบาลจะมานั่งคิดฝ่ายเดียว จะให้ค่าชดเชยใครเท่าไหร่ อย่างไร เพราะหลายชุมชน ที่ขอรับความช่วยเหลือจากทางรัฐไปและนำไปจัดการกันเอง เขาจะรู้ว่าใครเดือดร้อนมากและเดือดร้อนน้อย โดยคนในท้องที่จะรู้ว่าจะวิธีการแบ่งสรรอย่างไร ให้เข้าใจกัน
“แตกต่างจากรัฐบาลแจกเป็นมาตรฐาน โอกาสที่เกิดการขุ่นข้องหมองใจ และเกิดความขัดแย้งจะมีมาก ทั้งนี้ การให้ประชาชนมีส่วนร่วมไม่ใช่ว่ารัฐบาลไม่ต้องทำไรเลย หน้าที่ของรัฐบาลนั่นคือ เป็นผู้กำกับ คอยดูแล ให้คำแนะนำ ให้ข้อมูล และดูในภาพใหญ่ พร้อมทั้งติดตามผลไปด้วย เป็นการถ่วงดุลซึ่งกันและกัน ระหว่างท้องถิ่น กับผู้ที่ใช้อำนาจคณะรัฐ”