- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- "วุฒิสาร" ชี้กทม.อุดหนุนเงินช่วยคนจมน้ำได้อิสระหากมีงบพอ
"วุฒิสาร" ชี้กทม.อุดหนุนเงินช่วยคนจมน้ำได้อิสระหากมีงบพอ
นักวิชาการแจง กทม.อุดหนุนเงินเพิ่มได้ตามกฎหมาย และมีรายได้มากกว่า แต่จะจ่ายน้อยกว่า 5 พันบาทตามที่รัฐบาลกำหนดไม่ได้ ด้านปริมณฑลมองไม่เป็นธรรม เป็นปัญหาทางจิตวิทยาสังคมที่ต้องหาทางแก้
ภายหลังที่รัฐบาลประกาศจ่ายเงินชดเชยแก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมครัวเรือนละ 5,000 บาท ได้มีกระแสข่าวว่าทางกทม.จะจ่ายเงินสมทบเพิ่มให้สำหรับผู้ประสบภัยในเขต กทม. ครัวเรือนละ 1,500 บาท ซึ่งกำลังเป็นที่กังขาแก่ผู้ประสบภัยในเขตปริมณฑล รวมถึงต่างจังหวัดถึงความไม่เท่าเทียมและที่มาของเงินอุดหนุนดังกล่าว
รศ.วุฒิสาร ตันไชย รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า กล่าวถึงกรณีนี้ว่า ตามหลักแล้ว ท้องถิ่นแต่ละแห่งต่างก็มีอิสระในการเลือกจัดบริการสาธารณะให้กับประชาชน ซึ่งการดูแลมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความสามารถและฐานะทางการคลังของแต่ละท้องถิ่น หากมีงบประมาณมากบริการสาธารณะ หรืองบประมาณอุดหนุนก็จะดีขึ้น
“อย่างกรณีการแจกเบี้ยยังชีพ 500 บาท ท้องถิ่นแต่ละแห่งอาจจะจ่ายมากกว่าที่ระเบียบกำหนดก็ได้ แต่ต้องไม่น้อยกว่าขั้นต่ำที่รัฐบาลกำหนดมา เช่น พัทยา มีรายได้มาก อาจจ่ายสมทบเพิ่มขึ้น โดยที่การจ่ายเงินสมทบเพิ่มนั้นแต่ละท้องถิ่นสามารถทำได้โดยอิสระ แต่ต้องไม่ขัดกับระเบียบกฎหมาย และผ่านการเห็นชอบจากสภาท้องถิ่นที่จะยินดีให้ประชาชนในเขตได้รับบริการเช่นนี้ จึงเป็นเรื่องปกติสำหรับท้องถิ่นที่มีงบประมาณมากจะได้รับการบริการที่ดีกว่า”
รศ.วุฒิสาร กล่าวต่อว่า สำหรับกรณีเงินชดเชยให้ผู้ประสบภัยรัฐบาลได้จ่ายชดเชยโดยใช้เงินรัฐบาลกลาง ขณะที่ กทม.จะสมทบด้วยเงินของท้องถิ่นตนเอง ไม่ใช่เงินที่มาจากการอุดหนุนเพิ่มของรัฐบาล โดยหลักทั่วไปแล้วหากแต่ละท้องถิ่นรู้สึกว่าเงินชดเชยจากรัฐบาล 5,000 บาทนั้นไม่เพียงพอ และท้องถิ่นมีงบประมาณเหลือเพียงพอที่จะสมทบ ก็มีอิสระที่จะใช้จ่ายได้ตามที่เห็นสมควรเช่นเดียวกับ กทม.
“เพียงแต่ขณะนี้ผู้ประสบภัยในเขตอื่นๆ อาจมีความรู้สึกว่าแตกต่างกัน ไม่เป็นธรรม ก็เป็นเรื่องของความรู้สึก ความเหมาะสม และความแตกต่างทางจิตวิทยาสังคมก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องไปพิจารณาว่าจะให้คนรู้สึกเท่าเทียมหรือเหมาะสมอย่างไร แต่ในทางกฎหมายทุกท้องถิ่นและทุกจังหวัดก็สามารถทำได้ เปรียบเทียบง่ายๆ ว่าการบริการสาธารณะจำนวนมากของแต่ละที่ก็มีความแตกต่างกัน นั่นเป็นผลมาจากการเงินการคลังและการบริหารจัดสรรงบประมาณที่ได้รับ”
รองเลขาฯ สถาบันพระปกเกล้า กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่ กทม. มีงบประมาณมากกว่า เนื่องจากมีรายได้ของตัวเองตามที่กฎหมายกำหนดให้ และเป็นจังหวัดขนาดใหญ่ มีพลเมืองจำนวนมาก รายได้ส่วนแบ่งในหลายเรื่องก็เป็นสัดส่วนที่สูง เช่น ภาษีล้อเลื่อน (ภาษีรถยนต์) จะได้ส่วนที่เยอะกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับทั้งประเทศ ฉะนั้น จังหวัดที่มีขนาดเล็กมีรถน้อย ก็อาจจะได้เงินภาษีแค่ 15 ล้านต่อปี ในขณะที่บางจังหวัดได้เป็นร้อยล้านหรือพันล้าน ขึ้นอยู่กับความเจริญของจังหวัดนั้นๆ ด้วย
“แม้ว่า กทม. จะได้ส่วนแบ่งทางภาษีมากที่สุด แต่ก็มีรายจ่ายจำนวนมากเช่นกัน เราจะมองรายได้เพียงอย่างเดียวไม่ได้ กทม. ต้องดูแลคนเยอะ มีคนที่อยู่ในทะเบียนราษฎร์ประมาณ 6 ล้าน แต่คนที่ไม่ได้อยู่ในทะเบียนราษฎร์อีกกว่าเท่าตัว เป็นระบบที่ออกแบบให้มีรายได้มาก แต่ก็มีรายจ่ายเยอะเช่นกัน