- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ไม่ต้องกู้-ขึ้นภาษี ดร.ณรงค์ เสนอขึ้นค่าภาคหลวง จ่ายคดีฟ้องรัฐบริหารน้ำล้มเหลว
ไม่ต้องกู้-ขึ้นภาษี ดร.ณรงค์ เสนอขึ้นค่าภาคหลวง จ่ายคดีฟ้องรัฐบริหารน้ำล้มเหลว
รศ.ดร.ณรงค์ ค้าน นำเงินคงคลัง-ขึ้นภาษี มาชดใช้ความเสียหาย รัฐบาลบริหารจัดการน้ำผิดพลาด คำนวณเสร็จสรรพขึ้นค่าภาคหลวงปิโตรเลียม ประเทศมีรายได้ 2-3 แสนล้าน/ปี
รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวกับศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทย ถึงข้อเสนอการนำค่าภาคหลวงปิโตรเลียมมาชดใช้ค่าเสียหายจากวิกฤตน้ำท่วมครั้งนี้ แทนการขึ้นภาษีจากประชาชน ว่า ข้อเสนอดังกล่าวเกิดจากการตั้งคำถามว่า หากมีการฟ้องร้องรัฐบาลและหน่วยงานราชการ และต้องมีการชดใช้ความเสียหายตามคำสั่งศาล รัฐบาลและหน่วยงานราชการจะนำเงินส่วนไหนมาชดใช้ความเสียหาย ซึ่งจากการประมาณค่าความเสียหายเบื้องต้น คิดตามหลักเศรษฐศาสตร์ ค่าความเสียหายอยู่ที่ประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท และเมื่อนำมารวมกับค่าความเสียหายที่ทางสภาอุตสาหกรรมได้วิเคราะห์ไว้ที่ 1.14 ล้านล้านบาท จะเห็นว่า อย่างน้อยเราคงเสียหายกว่าล้านล้านบาทแน่นอน
“ทุกคนมองไปที่ภาษีและ เงินคงคลัง ซึ่งผมในฐานะที่ส่งเสริมการฟ้องร้อง ไม่เห็นด้วยที่จะเอาเงินภาษีและเงินคงคลังมาใช้ เนื่องจากเงินภาษีส่วนใหญ่มาจากเงินภาษีทางอ้อม คือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยผู้ที่แบกรับคือผู้ที่ซื้อของทั่วไป คนยาก คนจน คนรวย ต่างต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม ขณะที่เงินคงคลังเองแม้มีอยู่ ก็ไม่ควรนำมาใช้ง่ายๆ ถ้ามีทางเลือกอื่น”
อ.ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวต่อว่า หากไม่ขึ้นภาษี และหลีกเลี่ยงที่จะใช้เงินคงคลัง สิ่งที่ทำได้คือ การไปเอาเงินจากค่าภาคหลวงปิโตรเลียมมาชดใช้แทน เนื่องจากตามมาตรฐานโลก หรือประเทศที่มีน้ำมันปิโตรเลียม จะเก็บค่าภาคหลวงไม่ต่ำกว่า 30 % ของราคาฝากหลุมหรือราคาประเมินที่รัฐบาลตั้งขึ้นมา ว่า ราคาประเมินจะมีมูลค่าเท่าไหร่ ทั้งนี้ โดยทั่วไปจะอิงจากราคาตลาดโลก ดังนั้นเราควรเก็บค่าภาคหลวงเป็น 30% ของราคาประเมิน
“สมมติ ราคาน้ำมันดิบ บาเรลละ 100 ดอลลาร์ ค่าภาคหลวงก็ควรเป็น 30 ดอลลาร์ ทั่วโลกทำแบบนี้ทุกประเทศ ยกเว้นประเทศไทย ที่คิดค่าภาคหลวงแค่ 10-12% คือ หาก 100 ดอลลาร์ คิดเพียง 10-12 ดอลลาร์เท่านั้น” รศ.ดร. ณรงค์ กล่าวและว่า ประเทศไทยมีข้ออ้างว่า น้ำมันเราไม่ดี ซึ่งตามความจริงน้ำมันที่ค่อนข้างจะเลวมาก คือน้ำมันของประเทศเวเนซูเอร่า และมีการเก็บค่าภาคหลวง 80% เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับไทยที่เก็บค่าภาคหลวงน้อยกว่า ทั้งที่มีน้ำมันอยู่ในเกรดกลางไปจนถึงเกรดสูง
รศ.ดร.ณรงค์ กล่าวอีกว่า นอกจากเงินค่าภาคหลวงแล้วยังสามารถนำเงินส่วนแบ่งกำไรจากการขายปิโตเลียม มาใช้ได้อีกด้วย โดยมาตรฐานทั่วไป คือ ผู้ที่ขุดไปขายได้กำไรเท่าไหร่ ต้องแบ่งกลับไปยังเจ้าของประเทศครึ่งหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น ขายได้ 100 ดอลลาร์ ต้องแบ่งกลับให้เจ้าของประเทศ 50 ดอลลาร์
“ประเทศไทยเมื่อรวมค่าภาคหลวงและส่วนแบ่งกำไร เฉลี่ยแล้วอยู่ที่ประมาณ 27-28% เท่านั้น ทั้งที่ควรจะอยู่ที่ประมาณ 70-80% ฉะนั้นหากจะทำตามมาตรฐานทั่วไปของทุกประเทศ เราควรได้กำไรประมาณไม่ต่ำกว่า 60% รวมค่าภาคหลวง และส่วนแบ่งกำไร ควรจะต้องได้ 70-80% หากทำเช่นนี้ เราจะมีรายได้เพียงพอที่นำมาฟื้นฟูประเทศได้"
นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ กล่าวว่า ขณะนี้น้ำมัน 100 บาเรล เราขุดขึ้นมาใช้เอง 43 บาเรล นั่นคือขุดมาใช้แค่ 43% แทนที่เราจะคิดราคาในประเทศ ค่าภาคหลวง และส่วนแบ่งกำไรให้ต่ำ แต่กลับคิดราคาตลาดโลก”
“ผมจึงเสนอว่า เมื่อกลุ่มคนเหล่านี้เอากำไรจากเรามานานแล้ว ถึงเวลาขอแบ่งกำไรกลับ เอามาพัฒนาประเทศ เอามาฟื้นฟูประเทศ เอามาชดเชยความเสียหายของประชาชน ซึ่งหากสามารถขึ้นค่าภาคหลวงได้ ก็ไม่ควรขึ้นภาษีของประชาชนอีก เพราะการขึ้นค่าภาคหลวงคือการเก็บภาษีจากคนรวยต่างประเทศหรือ เศรษฐีระดับโลก ซึ่งสิ่งที่ทำไม่ได้แตกต่างจากประเทศอื่น"
รศ.ดร.ณรงค์ กล่าวด้วยว่า หากสามารถทำตามนี้ได้จริง ประเทศมีรายได้ปีละ 2-3 แสนล้านบาท ซึ่งใน 3 ปีจะมีรายได้ไม่น้อยกว่า 6 -9 แสนล้านบาท โดยไม่ต้องกู้ ไม่ต้องขึ้นภาษีให้ชาวบ้านเดือดร้อนด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: สภาทนายความเร่งฟ้องรัฐภายใน 2 เดือน เชื่อไม่ใช่แค่ภัย "ธรรมชาติ" http://www.thaireform.in.th/reform-the-news-social-welfare/item/6697--2-qq.html
สบช่องฟ้อง “รัฐบาล” ละเลย-ล่าช้าแก้ปัญหาน้ำท่วม http://www.thaireform.in.th/2011-02-02-12-12-21/item/6632-2011-11-04-09-34-58.html