- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- "ปิติพงษ์" คลอด 4 มาตรการระยะสั้น แก้ปัญหาบริหารจัดการน้ำให้เป็นระบบ
"ปิติพงษ์" คลอด 4 มาตรการระยะสั้น แก้ปัญหาบริหารจัดการน้ำให้เป็นระบบ
ปธ.อนุกก.ด้านการวางแผนและกำหนดมาตรการแก้ปัญหาระยะสั้น กยน.เร๋งซ่อมแซม ประตูระบายน้ำ คัน คลองระบายน้ำ ให้แล้วเสร็จ 3-4 เดือนนี้ ขณะที่กิจจา ผลภาษี เผยที่ประชุมเสนอสร้าง “วอเตอร์เวย์” หรือ ฟลัดเวย์” ยึดคลองลัดโพธิ์ เป็นแบบอย่าง
นายปิติพงษ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการด้านการวางแผนและกำหนดมาตรการแก้ปัญหาระยะสั้น ของคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) กล่าวว่า ที่ประชุมได้กำหนดกรอบมาตรการเพื่อดำเนินการระยะสั้น 4 มาตรการ ประกอบด้วย การบริหารจัดการน้ำโดยเริ่มจากการบริหารน้ำเขื่อนโดยตรง โดยจะไม่คำนึงเฉพาะการชลประทานเพียงอย่างเดียว แต่คำนึงถึงการป้องกันน้ำท่วมควบคู่ไปด้วย , การพิจารณาในการป้องกันน้ำท่วมในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานกลางทาง เช่น ประตูระบายน้ำ คันกั้นน้ำ คลองระบายน้ำ ที่ต้องเร่งซ่อมแซมให้แล้วเสร็จภายใน 3-4 เดือนนี้ เพื่อรองรับฤดูฝนช่วงเดือนพฤษภาคมปีหน้า , การพิจารณาการช่วยเหลือชดเชยพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก เช่น พื้นที่การเกษตร ที่เป็นพื้นที่แก้มลิง และเป็นพื้นที่รับน้ำโดยธรรมชาติ และการเร่งแก้ปัญหาการระบายน้ำในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทั้งฝั่งตะวันออกและตะวันตกให้สามารถระบายน้ำไปสู่ที่สูบน้ำออกได้ โดยเฉพาะในส่วนของคูคลองที่มีปริมาณขยะจำนวนมากและการบุกรุก ซึ่งกรมชลประทาน กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่นต้องเร่งแก้ไขด่วน
ส่วนเรื่องการเสริมคันกั้นน้ำ การออกแบบคันกั้นให้เป็นประโยชน์ เพื่อควบคุมระบบน้ำ ด้านวิศวกรรมนั้น นายปิติพงษ์ กล่าวว่า จะดำเนินการในช่วง 4-6 เดือน
ขณะที่การบริหารจัดการนั้น นายปิติพงษ์ กล่าวว่า ต้องปรับการให้ข้อมูลเป็นระเบียบมากขึ้น โดยเฉพาะต้องคำนึงถึงสิ่งต่างๆ ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและสามารถเดินหน้าต่อไปได้ พร้อมกับการปรับระบบเตือนภัยในพื้นที่ที่น้ำจะต้องเดินทางไปและระดับน้ำที่จะท่วมขังให้ดีขึ้น นอกจากนี้ ต้องดูกลไกการทำงานที่ต้องปฏิบัติได้ทันที เช่น การทำงานเป็นหน่วยงานเดียวให้เป็นระบบงานเดียว เพื่อเป็นองค์กรที่ต้องตัดสินใจได้สำเร็จ ซึ่งในวันที่ 1 ธันวาคมนี้ จะประชุมคณะอนุกรรมการชุดนี้อีกครั้ง เพื่อดูรายละเอียดก่อนเสนอต่อคณะกรรมการ กยน. ชุดใหญ่ ในวันที่ 7 ธันวาคมนี้
นายปิติพงษ์ กล่าวถึงการแก้ปัญหาการระบายน้ำของพื้นที่กรุงเทพมหานครในระยะสั้นด้วยว่า ต้องดูใน 3 เรื่อง คือ การทำให้น้ำเดินทางไปถึงอุโมงค์ยักษ์ , การแก้ปัญหาระบบปั๊มน้ำของกรุงเทพมหานคร ที่มีการสร้างไว้เพื่อป้องกันน้ำฝนที่ต้องมีการปรับใหม่ และการจัดระบบคูคลองที่ถูกบุกรุกจำนวนมากและบางช่วงตื้นเขิน
ขณะที่นายกิจจา ผลภาษี ประธานคณะอนุกรรมการด้านการวางแผนและกำหนดมาตรการแก้ปัญหาระยะยั่งยืน ของ คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) กล่าวว่า ในเบื้องต้นที่ประชุมมีแนวคิดในการบริหารจัดการน้ำในลุ่มแม่น้ำภาคกลางแบ่ง เป็น 2 ส่วน คือ การบริหารจัดการน้ำในลุ่มแม่น้ำภาคกลางตอนบน ได้แก่ ลุ่มน้ำยมที่ขณะนี้ยังไม่มีเขื่อนกั้นแม่น้ำ แต่แม่น้ำยมมีน้ำไหลผ่านจำนวนมากถึงปีละประมาณ 3,000 ล้านลูกบาศก์เมตร จำเป็นที่จะต้องมีการพิจารณาการสร้างเขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่อย่าง จริงจังอีกครั้ง เพื่อให้สามารถเก็บน้ำไว้ได้อย่างน้อย 1,000 ล้านลูกบาศก์เมตรในแต่ละปี
ส่วนพื้นที่ปลายน้ำที่มีปัญหาการระบายน้ำลงสู่ทะเลได้ล่าช้า นายกิจจา กล่าวว่า แนวทางที่เหมาะสม คือ การสร้างเส้นทางระบายน้ำเร่งด่วน อาจใช้รูปแบบเดียวกับ “วอเตอร์เวย์” หรือ ฟลัดเวย์” ที่สามารถใช้ประโยชน์เป็นทั้งทางระบายน้ำในช่วงที่น้ำหลากลงมาในพื้นที่ภา กลางมาก และในช่วงเวลาปกติสามารถใช้ประโยชน์ในทางโลจิสติกส์เป็นเส้นทางสัญจรเหมืน ถนนเส้นหนึ่งได้ โดยจะสร้างทั้งทางฝั่งตะวันตกและตะวันออกของกรุงเทพมหานคร ใช้เส้นทางฝั่งตะวันออกเริ่มจากบริเวณเขตมีนบุรีผ่านเขตหนองจอกและลงสู่ทะเลโดยตรง
"ส่วนด้านฝั่งตะวันตกเส้นทางระบายน้ำเริ่มจากบริเวณ อำเภอบางใหญ่ อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี และระบายน้ำออกสู่แม่น้ำท่าจีน แต่การระบายน้ำของแม่น้ำท่าจีนทำได้ค่อนข้างช้า จึงควรสร้างระบบระบายน้ำออกสู่ทะเลเพิ่มเติม ด้วยการใช้โครงการประตูน้ำคลองลัดโพธิ์ในพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวเป็นตัวอย่าง ซึ่งแนวทางนี้มีความเป็นไปได้และมีความคุ้มค่ามากกว่าโครงการแม่น้ำเจ้า พระยา 2"
นายกิจจา กล่าวด้วยว่า การวางแผนบริหารจัดการน้ำในระยะยาวจะใช้แนวทางการสร้างเขื่อน อ่างเก็บน้ำ หรือแก้มลิงรับน้ำเพิ่มเติมในส่วนลุ่มน้ำภาคกลางตอนบน เพื่อช่วยแบ่งเบาปริมาณน้ำที่จะไหลลงมาสู่พื้นที่ภาคกลางตอนล่าง โดยคณะกรรมการ กยน.เน้นความสำคัญในการแก้ปัญหาระยะสั้น เช่น การซ่อมแซมแนวคันกั้นน้ำ การสร้างแนวกั้นน้ำเพิ่มเติม และการซ่อมแซมประตูระบายน้ำที่ชำรุดเสียหาย เพื่อให้ทันกับฤดูฝนที่กำลังจะมาถึงในปีหน้า คาดว่า ในวันที่ 1 ธันวาคมนี้จะสามารถสรุปกรอบการทำงานระยะสั้น ที่ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน หลังจากนั้นเป็นการวางแผนในระยะยาว เพื่อการแก้ปัญหาการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน