- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- “ผอ.โครงการส่งน้ำฯ” ระบุ น้ำค้างทุ่งพระพิมล ระบายหมด ม.ค.ปีหน้า
“ผอ.โครงการส่งน้ำฯ” ระบุ น้ำค้างทุ่งพระพิมล ระบายหมด ม.ค.ปีหน้า
"ดร.ประภาส” เผยน้ำท่วมลากยาวเสี่ยงวิกฤต เกษตรกรขาดรายได้-จะอยู่กินอย่างไร แนะ รัฐ เลือกจ่ายเงินชดเชยแบบสงเคราะห์-เมตตากรุณา ย้ำ ค่าชดเชยต้องคิดจากฐานที่เป็นจริง เอาอย่างอุตสาหกรรม
วันที่ 28 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เครือข่ายประชาชนริมคลองฝั่งธนบุรี กรรมาธิการของวุฒิสภา มูลนิธิ SCG และคณะ ลงพื้นที่คลองมหาสวัสดิ์ และคลองสาขา อาทิ คลองสามบาท คลองสุคต และคลองบางเตย เพื่อสำรวจคลองธรรมชาติที่มีลักษณะเป็นแนวดิ่ง หวังนำโมเดลการผลักดันน้ำในคลองราชมนตรีมาใช้ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการระบายน้ำในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำท่าจีน พร้อมกับนี้ทางคณะได้เข้าร่วมหารือกับ นายชัยพร พรหมสุวรรณ ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาพระพิมล สำนักชลประทานที่ 11 เพื่อหาแนวทางการดำเนินการดังกล่าว
นายชัยพร กล่าวถึงสถานการณ์น้ำในทุ่งพระพิมลว่า ขณะนี้มีปริมาณน้ำอยู่ที่ 365 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งหลังจากเก็บกักไว้ใช้เพื่อการเกษตรแล้ว พบว่า จะต้องมีการระบายน้ำออกประมาณ 250 ล้าน ลบ.ม. ในหลักการเบื้องต้นต้องเร่งระบายน้ำออกทางฝั่งแม่น้ำท่าจีนและแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นหลัก โดยฝั่งแม่น้ำท่าจีนต้องเร่งเสริมศักยภาพในการสูบน้ำให้เต็มที่ ส่วนแม่น้ำเจ้าพระยานั้น พบว่า สามารถระบายโดยอาศัยแรงโน้มถ่วงของโลกได้ดี
“นอกจากนี้ในส่วนของแนวเหนือและใต้ ลงมาในเขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ และจังหวัดสมุทรสาคร ก็สามารถช่วยแบ่งเบาน้ำในทุ่งพระพิมลได้ แต่ทั้งนี้จะต้องเปลี่ยนน้ำทุ่งในพื้นที่ตอนล่าง ให้เป็นน้ำท่าและเข้าสู่ระบบคลองธรรมชาติเสียก่อน ไม่เช่นนั้นการดึงน้ำจากทุ่งพระพิมลลงมาในทันที จะก่อให้เกิดความขัดแย้งของมวลชน”
สำหรับระยะเวลาที่ใช้ในการระบายในทุ่งพระพิมลนั้น นายชัยพร กล่าวว่า โดยศักยภาพแล้ว คาดว่าประมาณกลางเดือนหรือปลายเดือนมกราคมปีหน้า น้ำถึงจะลดลงในระดับที่สามารถมองเห็นคันนา และดำเนินกิจกรรมทางการเกษตรได้ แต่ทั้งนี้ จะต้องไม่มีน้ำเติมเข้ามาในทุ่งฯ อีก
ขณะที่นางรสนา โตสิตระกูล สมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานคร กล่าวว่า การสูบน้ำอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องผลักดันน้ำ เร่งน้ำให้เดินเร็วขึ้น เพราะหากปล่อยน้ำให้ไหลตามธรรมชาติ น้ำจะเดินช้ามาก เรื่องดังกล่าวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระราชดำรัสไว้ตั้งแต่ ปี 2538 แล้ว สำหรับโครงการผลักดันน้ำในคลองราชมนตรีนั้น ถือเป็นโครงการต้นแบบของการผลักดันน้ำในคลองแนวดิ่ง เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่า น้ำเดินทางไปไม่ถึงสถานีระบายน้ำริมทะเล ทั้งที่มีปริมาณน้ำจำนวนมากเอ่อตามถนนและท่วมบ้านเรือนประชาชน ดังนั้น วิธีการดังกล่าวจะช่วยย่นระยะเวลาในการระบายน้ำได้
จากนั้นในช่วงท้าย ผศ.ดร.ประภาส ปิ่นตกแต่ง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงความกังวลต่อสถานการณ์น้ำในทุ่งพระพิมล ที่อาจลากยาวไปถึงปีหน้าว่า ชาวบ้านในพื้นที่ดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นชาวนาชาวไร่ และตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา ชาวบ้านก็ไม่มีรายได้ เฉพาะที่คลองโยงแห่งเดียว นาข้าวล้มไปแล้วหลายร้อยไร่ ขณะที่สวนไม้ล้มลุก ไม้ยืนต้นก็จมน้ำไม่ต่างกัน ส่วนรายได้จากการรับจ้างก็หายไปเช่นกัน
“หากน้ำลดช่วงเดือนมกราคม ชาวบ้านส่วนหนึ่งก็พอออกไปรับจ้างได้ แต่หากโรงงานอยู่ในระยะฟื้นฟู อาจกระทบต่อรายได้ ส่วนการทำนานั้น ชาวนาอาจได้เริ่มทำนาเดือนกุมภาพันธ์ หรือต้นเดือนมีนาคม ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่า จะทำนาได้ถึง 2ครั้งต่อปีหรือไม่ ทำให้รายได้หายไป ขณะที่สวนไม้ยืนต้นจะต้องใช้เวลา 4-5 ปีในการฟื้นฟู แต่หากเกษตรกรปรับตัวหันมาปลูกไม้ล้มลุก ก็ยังต้องใช้เวลา 2 เดือนขึ้นไปกว่าจะได้เก็บผลผลิต ดังนั้น สถานการณ์ข้างหน้าจึงอยู่ในภาวะวิกฤต ชาวบ้านจะอยู่จะกินกันอย่างไร”
สำหรับแนวทางการชดเชยของภาครัฐนั้น ผศ.ดร.ประภาส กล่าวว่า ที่ผ่านมาวิธีคิดในเรื่องการชดเชยของภาครัฐนั้น เป็นการดูแลให้ประชาชนพอลืมตาอ้าปากได้ และให้แบบเมตตากรุณา สงเคราะห์ ครัวเรือนละ 5,000 บาท นาข้าว 2,222 บาทต่อไร่ สวน 5,000 บาทต่อไร่ แต่ในความเป็นจริงมูลค่าความเสียหายแตกต่างกัน
“นา กำลังจะเก็บเกี่ยวและสร้างรายได้ 10,000 บาทต่อไร่ แต่กลับได้เพียง 2,222 บาทเท่านั้น สวนมะม่วง ส้มโอ สร้างรายได้ไร่ละเป็นแสน จะให้เงินชดเชยเท่ากับสวนมะเขือ พริก อัตราเดียวกันหมดได้อย่างไร ฉะนั้น ค่าชดเชยต้องคิดจากฐานที่เป็นจริง เช่นเดียวกับอุตสาหกรรม”