- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- “เดชรัต” ชี้ภาษีน้ำท่วมทำได้จริง จี้รัฐชดเชยผู้เดือดร้อนอย่างเป็นธรรม
“เดชรัต” ชี้ภาษีน้ำท่วมทำได้จริง จี้รัฐชดเชยผู้เดือดร้อนอย่างเป็นธรรม
อ.เศรษฐศาสตร์ มก. ฉะรัฐช่วยผู้ประสบภัยแบบ “สังคมสงเคราะห์” ไม่รับผิดชอบความเสียหายจากการจัดการน้ำ ย้ำต้องสร้างกลไกเฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข ชดเชยผู้เสียหาย
วันที่ 7 ธันวาคม ดร.เดชรัต สุขกำเนิด อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวภายในงานสัมมนา “การฟื้นฟูภาคเกษตรกรรมและเกษตรกรรายย่อย หลังวิกฤตน้ำท่วม” ณ ห้อง 209 คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงมุมมองทางเศรษฐศาสตร์ในแง่ของความรับผิดชอบต่อผู้ประสบอุทกภัย รวมทั้งแนวทางหรือมาตรการในการช่วยเหลือเยียวยาชดเชยและฟื้นฟูในพื้นที่ภัยพิบัติ โดยเฉพาะภาคเกษตร
ดร.เดชรัต กล่าวว่า ในมิติทางเศรษฐศาสตร์ผู้ประสบอุทกภัยในที่แตกต่างกันย่อมจะมีแนวทางหรือมาตรการในการช่วยเหลือ เยียวยา ชดเชยและฟื้นฟูที่แตกต่างกันตามไปด้วย แต่เนื่องจากประเทศไทยไม่มีการวิเคราะห์สาเหตุของอุทกภัยไว้อย่างแน่ชัด จึงไม่มีการแบ่งสรรความรับผิดชอบในการตัดสินใจดำเนินการต่างๆ ของรัฐบาลและหน่วยงานไว้อย่างชัดเจน ทำให้เกิดปัญหาสำคัญ 3 ประการ คือ
1.การช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรเป็นไปตามกรอบของการเกิดภัยพิบัติตามธรรมชาติหรือตามกรอบของสวัสดิการสังคมเท่านั้น
การช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยในมิตินี้จึงมักถือเป็นส่วนหนึ่งของระบบสวัสดิการสังคมที่จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของสมาชิกในสังคม หรืออาจเรียกได้ว่า เป็นการ “สังคมสงเคราะห์” อย่างหนึ่ง โดยรัฐอาจเป็นผู้จัดให้หรือจัดการระบบสวัสดิการดังกล่าว เรียกได้ว่าเป็นการ “ช่วยเหลือ” เช่น เงินช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัย โดยที่ไม่ได้มีนัยยะหรือความหมายว่ารับได้รับผิดชอบโดยการ “ชดเชย” ต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการกระทำของรัฐ
2.รัฐบาลไม่มีกรอบความพร้อมรับผิดในการตัดสินใจเพื่อการบริหารจัดการน้ำตามกฎหมายที่ชัดเจน
การบริหารจัดการน้ำที่ทำให้บางพื้นที่ไม่ประสบภัยหรือประสบภัยน้อยกว่า อันเกิดมาจากการตัดสินใจของรัฐ แต่ส่งผลให้อีกพื้นที่หนึ่งเกิดความเสียหาย ไม่ว่าการตัดสินใจดังกล่าวจะเกิดขึ้นด้วยเหตุผลที่ดีเพียงใดก็ตาม รัฐบาลและสมาชิกในสังคมโดยเฉพาะในพื้นที่ที่ได้รับประโยชน์ จะต้องรับผิดชอบต่อการตัดสินใจและการได้รับประโยชน์ดังกล่าวด้วยการชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงแก่ผู้ประสบภัยอย่างเป็นธรรม
“จะเห็นได้ว่าตลอดช่วงอุทกภัยที่ผ่านมารัฐบาลและหน่วยงานที่รับผิดชอบจะเน้นย้ำเสมอว่า “อุทกภัยครั้งนี้เป็นเหตุสุดวิสัยทางธรรมชาติ“ และ “การตัดสินใจในการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวม” ที่เป็นการเน้นย้ำว่า ภาครัฐไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรับผิดชอบในการชดเชยความเสียหายจากการจัดการน้ำของตน นอกจากเป็นตัวแทนของสังคมในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยเท่านั้น”
3.กลไกการคลังของประเทศไม่เอื้ออำนวยให้ผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการบริหารจัดการน้ำต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้ที่เสียประโยชน์ เช่น ภาษีผลประโยชน์พิเศษ อันเนื่องมาจากการบริหารจัดการของรัฐ หรือ ภาษีน้ำท่วม เพราะชุมชนเกษตรกรรมที่ต้องยอมรับสภาพน้ำท่วมสูงเป็นเวลานาน เพื่อลดผลกระทบให้พื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจ โดยหน่วยงานรัฐมักมีการกล่าวอ้างว่า มูลค่าเศรษฐกิจสำคัญดังกล่าวมีมากมายกว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นกับชุมชนเกษตรกรรมหลายเท่า
“การแบกรับดังกล่าว กลับไม่มีกลไกเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข ที่จะแบ่งสรรผลประโยชน์จากการป้องกันน้ำท่วมมาสู่ภาคเกษตรกรรมหรือผู้ที่ได้รับผลกระทบ ดังนั้น กลไกการจัดเก็บภาษีน้ำท่วม จึงเป็นแนวทางหนึ่งที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติ สามารถพ่วงเข้าไปในภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ป้องกันอุทกภัยเป็นพิเศษได้ และสามารถนำกลไกส่วนนี้ไปชดเชยและฟื้นฟูชุมชนที่ต้องแบกรับภาระอุทกภัยมากกว่าหรือยาวนานกว่า โดยดำเนินการผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคประชาสังคม” ดร.เดชรัต กล่าว และว่า การจัดเก็บภาษีผลประโยชน์พิเศษดังกล่าวนี้ ยังสามารถนำมาชดเชยหรือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการตัดสินใจของหน่วยงานรัฐ เช่น ถูกเวนคืน ถูกน้ำท่วมและชดเชยแก่พื้นที่ที่จะเป็นฟลัดเวย์ในอนาคต ซึ่งหลักการนี้สอดคล้องกับหลักความเป็นธรรม ผู้ได้รับประโยชน์เป็นผู้จ่าย นับว่าเป็นกาสรเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขร่วมกันในสังคม
อ.เศรษฐศาสตร์ มก. กล่าวด้วยว่า จากนี้ไปสังคมไทยควรสร้างความรับผิดชอบต่อผู้ได้รับผลกระทบจากการตัดสินใจของรัฐบาลและหน่วยงานรัฐไว้อย่างชัดเจนล่วงหน้า เพราะในทางปฏิบัติและวิชาการไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำการวิเคราะห์ว่ามาตรการบริหารจัดการน้ำที่ผ่านมาได้สร้างผลกระทบให้เกิดขึ้นแก่พื้นที่ใดบ้างและยาวนานเพียงใด
“ความชัดเจนจะช่วยเป็นแนวทางในการตัดสินใจทั้งต่อหน่วยงานภาครัฐที่จะตัดสินใจ กลไกการเก็บภาษีและกลไกการฟื้นฟู รวมทั้งเป็นการช่วยลดความสับสน กังวลใจและความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากการบริหารจัดการน้ำลงได้อย่างมาก”