- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- 'เธียรชัย ณ นคร' ย้ำชัด พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ ไม่ใช่กม.หลักปราบทุจริตคอร์รัปชั่น
'เธียรชัย ณ นคร' ย้ำชัด พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ ไม่ใช่กม.หลักปราบทุจริตคอร์รัปชั่น
กรรมการข้อมูลข่าวสารฯ ชี้การจับทุจริตคอร์รัปชั่น ขอข้อมูลไป แต่ไม่รู้จักการวิเคราะห์ หรือสังเคราะห์ ก็ไร้ประโยชน์ ยันปัญหาแท้จริงของ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ อยู่ที่ความคาดหวังที่มีต่อตัวกฎหมายสูงเกินไป
เมื่อเร็วๆ นี้ สมาคมเครือข่ายสื่อมวลชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมกับ ศูนย์ศึกษานโยบายสื่อ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเครือข่ายนักกฎหมายเพื่อสื่อมวลชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จัดงานสัมมนา “14 ปีของ พรบ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ ถึงเวลาแก้ไขแล้วหรือยัง” เพื่อวิเคราะห์สิทธิของประชาชนในกรเข้าถึงข้อมูลข่าวสารในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมี นายเธียรชัย ณ นคร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ และอาจารย์สอนกฎหมาย พ.ต.ท.วรัท วิเชียรสรรค์ ผู้อำนวยการส่วนหารือและร้องเรียน สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารราชการ และ นายตี๋ ตรัยรัตนแสงมณี เครือข่ายอนุรักษ์เกษตรกรรม ร่วมสัมมนา ณ ห้องพิมาน โรงแรมมณเฑียร (ถนนสุรวงศ์) กรุงเทพฯ
นายเธียรชัย กล่าวถึงความเป็นมาของ พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารของราชการ ว่า กฎหมายฉบับนี้เริ่มต้นมาจากความพยายามในการส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมทางการเมืองการปกครอง และประสบความสำเร็จในปี พ.ศ.2540 โดยเมื่อ 20 ปีที่แล้วที่เริ่มมีการผลักดัน เกิดความคาดหวังว่าสื่อจะมีโอกาสได้ใช้มากที่สุด แต่เมื่อมีการประกาศใช้สื่อกลับไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์จากกฎหมายนี้เท่าที่ควร
นายเธียรชัย กล่าวต่อว่า ในเวลา 14 ปีผ่านมา กฎหมายฉบับนี้มีพัฒนาการที่ดีขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่มาก ซึ่งปัญหาอุปสรรคอย่างหนึ่งของพ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารของราชการ คือ แม้จะมีการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารผ่านทางเว็บไซต์ของพระราชกิจจานุเบกษาแล้ว แต่ข้อมูลดังกล่าวนั้นเป็นข้อมูลที่ได้รับความสนใจน้อย เนื่องจากเป็นข้อมูลที่คนไม่สนใจและนึกไม่ออกว่าจะใช้ประโยชน์จากข้อมูลเหล่านี้อย่างไร
“เวลานี้ ผู้คนพยายามใช้กฎหมายตัวนี้ค่อนข้างจะไปไกลค่อนข้างมาก เช่น ในเรื่องของการจับทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งการจะทำอย่างนั้นได้หรือไม่ ต้องพิจารณาจากตัวกลไกเองว่าจะไปถึงตรงนั้นได้หรือไม่ แต่ทั้งนี้การใช้ข้อมูลเฉพาะในส่วนที่ได้รับอย่างเดียว โดยไม่รู้จักการวิเคราะห์ หรือสังเคราะห์ข้อมูล อาจไม่ทำให้เกิดประโยชน์เท่าที่ควร ฉะนั้นแล้ว ในการใช้ข้อมูลต้องรู้ว่าต้องการใช้ข้อมูลอะไร ซึ่งปัจจุบันความไม่แน่ใจในการขอข้อมูล” นายเธียรชัย กล่าว และว่า พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯนั้นเป็นเพียงกฎหมายเสริมกับกฎหมายอื่นๆ ในการที่จะตรวจสอบ และกฎหมายฉบับนี้ไม่ใช่กฎหมายหลักในการที่จะปราบปรามในเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น
จนท.ไม่กล้า เปิดเผยข้อมูลทันที
ส่วนความล่าช้าในการเปิดเผยข้อมูล นายเธียรชัย กล่าวว่า สาเหตุหลัก คือ เจ้าหน้าที่ไม่กล้าที่จะเปิดเผยข้อมูลได้ในทันที เนื่องจากกลไกการป้องกันเรื่องความปลอดภัยนั้นอ่อนแอมาก จำเป็นต้องมีการกระบวนการในการป้องกันเจ้าหน้าที่ที่ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต แม้จะมีระบุในทางกฎหมาย แต่ก็ยังอ่อนแอ เพราะในทางปฏิบัติแล้วเป็นเรื่องยากที่เจ้าหน้าที่จะใช้ดุลพินิจในการตัดสินใจ จึงส่งผลให้เจ้าหน้าที่ต้องปฏิเสธที่จะเปิดเผยข้อมูลไว้ก่อน เพื่อส่งต่อให้คณะกรรมวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารพิจารณาและสั่งเปิดต่อไป จึงทำให้กระบวนการนั้นเกิดความล่าช้า
นอกจากนี้ คกก.ข้อมูลข่าวสาร ยังมองว่า ปัญหาที่แท้จริงของ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการคือ ความคาดหวังที่มีต่อตัวกฎหมายสูงเกินไป สูงเกินกว่ากลไกที่กฎหมายจะตอบให้ได้ เช่น เมื่อครั้งที่กฎหมายฉบับนี้ออกมาในช่วงนี้คาดหวังว่า NGO นักวิชาการ และสื่อมวลชน จะมีโอกาสได้ใช้กฎหมายนี้เป็นจำนวนมาก แต่เอาเข้าจริงเมื่อเริ่มใช้กฎหมายผู้ที่มาใช้สิทธิส่วนใหญ่กลับเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ
แนะเปลี่ยนกก.ใหม่ยกชุด เอาคนรุ่นใหม่มาทำงาน
“สิ่งสำคัญคือคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารฯ ต้องมีการกระตุ้นการทำงานในเชิงรุกให้มากขึ้น โดยไม่ต้องรอให้ประชาชนมาข้อมูล แต่เป็นการกำหนดข้อมูลที่ต้องเปิดเผยให้ชัดเจน โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 9(8) ทั้งนี้ ในแง่ของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ปัจจุบันอาจจะยังไม่ดีที่สุด แต่ก็สามารถไปได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งความจริงแล้วในเวลานี้ ถ้าจะมีการปรับคณะกรรมการ ประการแรกเลยคือเปลี่ยนคณะกรรมการใหม่ทั้งชุด เอาคนรุ่นใหม่เข้ามาทำงาน เพื่อที่จะมีความคิดใหม่ๆเข้ามาช่วยเสริมในการทำงาน” นายเธียรชัย กล่าวและว่า ทั้งนี้ กฎหมายข้อมูลข่าวสารยังต้องการการขับเคลื่อนอีกมาก ซึ่งหากมีความเชื่อว่าจะสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้ เวลานี้คงถึงจุดที่ต้องมานั่งทบทวนกันใหม่เพื่อนำไปสู่การแก้ไขต่อไป
ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ คนแห่ขอมากสุด
ด้าน พ.ต.ท.วรัท กล่าวว่า ในช่วงแรกของการบังคับใช้ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ ผู้ที่มาใช้สิทธิคือเจ้าหน้าที่ของรัฐ เนื่องจากเจ้าหน้าที่เป็นผู้ที่มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งต่อมาได้มีการเผยแพร่ความรู้ให้กับประชาชนเพื่อให้เกิดความเข้าใจ จึงมีทำให้มีประชาชนมาใช้สิทธิเพิ่มมากขึ้น
“เรื่องที่มีการขอข้อมูลมากที่สุด จะเกี่ยวกับการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ในส่วนของข้อมูลจัดซื้อจัดจ้าง โครงการต่างๆ แผนการที่ดำเนินการในท้องถิ่นหรือในชุมชน นอกจากนี้ยังมีในส่วนของการแต่งตั้งคณะกรรมการท้องถิ่น การประเมินสอบวัดผล รวมถึงรายงานการประชุมของสภาท้องถิ่น เป็นต้น” พ.ต.ท.วรัท กล่าวและว่า บริบทในประเทศไทย ยังไม่มีความเข้าใจในการใช้สิทธิตามกฎหมาย ต้องให้ผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ช่วยชี้แนวทางและไปกระตุ้นให้ผู้ที่มีสิทธิได้ใช้สิทธิตามกฎหมาย
ขณะที่ นายตี๋ กล่าวถึงประสบการณ์การใช้ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารว่า ตนได้ใช้สิทธิในกฎหมายฉบับนี้ตั้งแต่ปี 2542 โดยมีการไปขอข้อมูลกับทางเจ้าหน้าที่ในจังหวัดมาแล้วหลายกรณี ซึ่งพบว่า ปัญหาอุปสรรคในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่สำคัญคือ เจ้าหน้าในจังหวัดไม่มีความรู้เกี่ยวกับกฎหมายฉบับนี้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังไม่มีความเข้าใจในเจตนารมณ์ของกฎหมายด้วย
“เมื่อทำหนังสือไปแล้ว หน่วยงานมักเพิกเฉยไม่ดำเนินการให้ ที่สำคัญคือมีความล่าช้า โดยเฉพาะเมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ บริษัทใหญ่ หรือทุนข้ามชาติ เช่น ผลกระทบด้านเสียงของโรงงาน เจ้าหน้าที่มักอ้างว่าต้องรายงานต่อหน่วยงาน จะปฏิเสธการให้ไว้ก่อน เพราะกลัวถูกบริษัทฟ้อง แต่ไม่กลัวประชาชนชนฟ้อง” นายตี๋ กล่าวและว่า ในบางครั้งเมื่อขอข้อมูลไปแล้ว ได้รับข้ออ้างกลับมาว่าข้อมูลเป็นความลับไม่สามารถเปิดเผยได้ ซึ่งเมื่อเกิดความล่าช้าไปแล้ว เมื่อได้รับเอกสารมาหลังจากนั้นก็ไม่มีความหมาย และไม่มีประโยชน์ใดแล้ว ควรมีการกำหนดให้มีหนังสือที่ขอได้ทันที เพื่อความรวดเร็ว