- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ภาคธุรกิจ เสนอตั้งภาคีเครือข่ายเฉพาะด้าน จับตางบฟื้นฟูหลังน้ำท่วม
ภาคธุรกิจ เสนอตั้งภาคีเครือข่ายเฉพาะด้าน จับตางบฟื้นฟูหลังน้ำท่วม
เวทีเสวนาภาคเอกชน ระดมความเห็น ผุดข้อเสนอ ตั้งหน่วยงานสายลับเชื่อมโยงเครือข่ายตาสับปะรด จับผิดคอร์รัปชั่นในองค์กร หวัง เริ่มจากภายในองค์กรเล็ก แล้วขยายผลไปยังเครือข่ายธุรกิจอื่นทั่วประเทศ
วันที่ 14 ธันวาคม ภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น หอการค้าไทย โครงการ “คนไทย” หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ และเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจและภาคประชาสังคมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (The NETWORK) จัดงาน เสวนา “คนไทย” – เดอะเนทเวิร์คฟอรั่ม ครั้งที่ 3 “ธุรกิจไทย ไม่ให้ ไม่รับ ไม่ยอม” ณ ห้อง Activity Hall สภาหอการค้าไทย โดยมี คุณหญิง ชฎา วัฒนศิริธรรม สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) เป็นประธานกล่าวเปิดงานเสวนา
คุณหญิงชฎา กล่าวตอนหนึ่งถึงเรื่องคอร์รัปชั่น ทำให้การนำเงินภาษีของประชาชนไปใช้ในทางที่ไม่ถูกไม่ควร และทำให้ประเทศไทยมีความเสียหายในเชิงงบประมาณในปีหนึ่งมากมายมหาศาล จำนวนเงินที่สูญเสียมหาศาลนั้น นอกจากทำลายสังคมแล้ว ยังเป็นการทำลายโอกาสของลูกหลานด้วย ฉะนั้น ภาคธุรกิจจึงต้องการมีส่วนที่จะคิดเอง และนำไปทำกันเอง ก่อนที่จะไปเรียกร้องให้คนอื่นหรือรัฐบาลทำ
พร้อมกันนี้ คุณหญิงชฎา กล่าวยกย่องนายดุสิต นนทะนาคร ในฐานะผู้ที่มีความกล้าและเริ่มต้นที่จะขจัดปัญหาคอร์รัปชั่นให้หมดไป และแม้วันนี้จะไม่มี นายดุสิตแล้ว ภาคีเครือข่ายจะยังมีความเข้มแข็ง และเชื่อว่ายังมีผู้นำที่มีความมุ่งมั่นลุกขึ้นมาต่อสู้ร่วมกัน
ปัญหาคอร์รัปชั่นติด 1 ใน 5 ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ
จากนั้น ผศ.ดร.กฤตินี ณัฐวุฒิสิทธิ์ กรรมการเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจและภาคประชาสังคมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน กล่าวถึงสถานการณ์ปัญหาคอร์รัปชั่นของไทย ที่ได้จากการสำรวจคนไทยทั่วประเทศ 1 แสนคน ครอบคลุมทั้งหมด 77 จังหวัด ทั้งในและนอกเขตเทศบาล โดยจากผลการสำรวจพบว่า การทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นปัญหาที่มีความรุนแรงอย่างยิ่ง โดยเป็นปัญหาที่ติดอันดับ 1 ใน 5 ของในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร
“ภาคธุรกิจมีความกังวลในเรื่องของการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นอย่างมาก และเชื่อว่าหลังจากสถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ จะมีจุดเสี่ยงในทุกขั้นตอนของโครงการในการฟื้นฟู” ผศ.ดร.กฤตินี กล่าวและว่า ภาคธุรกิจ ต้องหยุดที่จะให้ผู้อื่นทำงานเพื่อให้เกิดความเข้มแข็ง แต่ต้องหันกลับมามองว่า ภาคธุรกิจ และบริษัทสามารถที่จะทำอะไรได้บ้าง โดยเริ่มต้นจากโครงการที่ตนมีส่วนร่วมก่อน จากนั้นจึงเผยแพร่ไปยังเครือข่ายธุรกิจอื่น โดยประกอบกับการทำงานของภาครัฐที่ต้องออกข้อบังคับให้ธุรกิจอื่นๆ มีการเปิดเผยข้อมูลด้วย และในขณะเดียวกันก็ต้องเผยแพร่ไปยังภาคประชาชนผ่านสื่อต่างๆ เพื่อให้เกิดการรับรู้
นอกจากนี้ ผศ.ดร.กฤตินี กล่าวต่อว่า ทางเครือข่ายจะจัดทำมาตรการป้องกันการคอร์รัปชั่นจากโครงการฟื้นฟูประเทศ โดยระบบ Watch dog ในการป้องกันคอร์รัปชั่นอย่างมีส่วนร่วม นอกจากนี้ได้มีการจัดทำเว็บไซต์ Change Fusion ขึ้นเพื่อเปิดเผยข้อมูลของเครือข่ายธุรกิจ และเครือข่ายอื่นๆ รวมถึงเป็นช่องทางการเรียกร้องไปยังภาครัฐ และเผยแพร่สื่อสารสู่ภาคประชาชน
“สิ่งที่เราทำได้คือต้องเริ่มต้นเปิดเผยข้อมูลจากตนเองก่อน โดยมุ่งเน้นที่จะเสนอข้อเท็จจริงมากกว่าความคิด ทั้งนี้ ข้อมูลที่เปิดเผย ต้องมีการเชื่อมต่อกับกระบวนการ ไม่ใช่เพียงการนำเสนอ แต่ต้องนำไปสู่มาตรการในการจัดการต่อไปด้วย” ผศ.ดร.กฤตินี กล่าวและว่า ต้องไม่มองว่าการกระทำครั้งนี้ทำเพื่อประเทศชาติเพียงอย่างเดียว แต่ให้มองว่า ยิ่งเห็นแก่ส่วนร่วม ส่วนตนยิ่งได้ ถ้าเราสร้างกลไกนี้ให้เกิดขึ้นได้ จะทำให้เกิดกลไกอื่นๆตามมา
เสนอตั้งเครือข่ายเฉพาะทาง จับตาเฉพาะด้าน
จากนั้น มีการระดมความเห็นธุรกิจกับการป้องกันการคอร์รัปชั่นจากโครงการฟื้นฟูประเทศ ซึ่งจากการระดมความเห็นครั้งนี้ สมาชิกเครือข่ายได้มีข้อเสนอเพิ่มเติมต่อการป้องกันการคอร์รัปชั่นจากโครงการฟื้นฟูประเทศดังนี้
1.เสนอตั้งภาคีเครือข่ายเฉพาะทางโดยให้ความคิดเห็นเฉพาะด้าน เช่น ใน เรื่องการคอร์รัปชั่นนโยบายฟื้นฟูนั้นมีหลายด้าน ตั้งแต่การทำถนนไปจนถึงการทำฟลัดเวย์ ซึ่งต้องอาศัยความเชี่ยวชาญ ฉะนั้นการมีเครือข่ายเฉพาะทางจะช่วยให้ความคิดเห็นในแต่ละด้านได้มากยิ่งขึ้น
2.การสื่อสารสาธารณชน สิ่งที่ทำได้คือเริ่มจากตนเองและจุดเล็กๆก่อน แล้วจึงเชื่อมโยงกันไปเป็นตาสับปะรด จนเกิดเป็นเครือข่ายได้
3.การทำงานภายในองค์กร ควรต้องมีหน่วยงานสายลับภายในองค์กร ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ เพราะเมื่อมีตาสับปะรดแล้วก็จะพร้อมที่จะเข้าไปเป็นสายลับภายในองค์กรได้
4.ในแง่ของการทำงานเครือข่ายองค์กร สิ่งที่สามารถทำได้คือการนำเอาข้อผิดพลาดมาใช้เป็นไม้หลัก ในการยึดว่าจะไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำอีก และเลือกที่จะไม่ให้ ไม่รับ ไม่ยอม
ขณะที่ นายปรีดา เตียสุวรรณ์ ประธานกรรมการ บริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด และคณะกรรมการสมัชชาปฎิรูป กล่าวถึงบทบาทของบริษัทเอกชนต่อการป้องกันการคอร์รัปชั่นว่า บริษัทต้องมีค่านิยม ว่าจะต้องไม่คอร์รัปชั่น ไม่ยอมที่จะจ่ายอะไรใต้โต๊ะ โดยต้องประกาศออกมาเป็นนโยบายหลักของบริษัท ประกาศเปิดเผย พนักงานทุกคนต้องรับทราบ
"เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของผู้บริหารระดับสูง ไม่ใช่หน้าที่ของพนักงาน เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องของจิตวิญญาณ และศีลธรรม ซึ่งต้องเริ่มมาจากผู้ใหญ่ และหลังจากนั้นจะซึมซาบไปทั่วองค์กร ก็จะเป็นองค์กรที่ไม่คอร์รัปชั่น มีความโปร่งใส มีความชัดเจนในการที่จะไม่ทำเรื่องที่ผิดศีลธรรม ฉะนั้นการเปลี่ยนคุณค่าขององค์กรที่จะไม่คอร์รัปชั่น จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ”
นายปรีดา กล่าวต่อว่า การที่หลายบริษัทมารวมกันจำนวนมาก จะทำให้เกิดพลังขึ้นมา ซึ่งจะเป็นพลังที่จะเดินเข้าหารัฐ เพื่อที่จะบอกว่าข้อมูลข่าวสารในการจัดจ้างของรัฐ ซึ่งเป็นเรื่องของการใช้งบประมาณเป็นหลักต้องมีการนำออกมาเปิดเผยที่สำคัญรัฐมีหน้าที่จะต้องแจงความโปร่งใสออกมา
“ถ้าเรามีพลังรวมตัวกันก็จะประสบความสำเร็จ เพราะเราเป็นผู้จ่ายภาษีอากร และเป็นผู้ที่รับหนี้ที่รัฐก่อไว้ให้ รวมถึงลูกหลานด้วย ฉะนั้นถ้าเราไม่ทำแล้วใครจะทำ”