- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- รฟท.อ่วม น้ำท่วมเสียหาย 564 ล้าน
รฟท.อ่วม น้ำท่วมเสียหาย 564 ล้าน
หัวหน้ากองพานิชย์สินค้า รฟท. เผย ช่วงน้ำท่วมงดขบวนรถไฟกว่า 2,073 ขบวน ด้าน MRT- BTS ผู้โดยสารลดรายได้หายกว่า 60 ล้าน
เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยโครงการพัฒนาระบบขนส่งทางรางและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องของประเทศไทย ร่วมกับวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) จัดการบรรยายและเสวนาพิเศษ “มหันตภัยน้ำท่วม ปี 2554 ผลกระทบต่อสังคมและแนวทางการพัฒนาระบบขนส่งทางรางเพื่อรับมือภัยพิบัติ”
ในช่วงแรกมีการเสวนา เรื่อง “ผลกระทบของอุทกภัย ต่อการขนส่งระบบราง 2554” โดยมี นายสุชีพ สุขสว่าง วิศวกรกำกับการกองบำรุงทางเขตกรุงเทพฯ การรถไฟแห่งประเทศไทย นายอารยะ ปิณฑะดิษ หัวหน้ากองพานิชย์สินค้า การรถไฟแห่งประเทศไทย นายวิทูรย์ หทัยรัตนา ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ บมจ. รถไฟฟ้ากรุงเทพฯ และนายชัยวุฒิ พักโพธิ์เย็น ผู้จัดการส่วนความปลอดภัยและคุณภาพ บมจ. ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ ร่วมเสวนา
นายสุชีพ กล่าวถึงผลกระทบจากน้ำท่วมครั้งนี้สร้างความเสียหายให้กับคันรางรถไฟ ซึ่งต้องเข้าซ่อมแซมอย่างเร่งด่วน โดยช่วงอยุธยา –ดอนเมือง เป็นช่วงที่มีน้ำท่วมและนานที่สุด จึงกลายเป็นตัวแปรที่ทำให้รถไฟสายเหนือยังไม่สามารถวิ่งได้ มากกว่านั้นตามรางรถไฟในบางเขตมีบิ๊กแบ๊กวางเรียงอยู่ แม้ปัจจุบันน้ำจะลดลงแล้วก็ยังไม่ได้ทำการย้ายออก จึงเป็นปัญหาต่อการเดินรถ
ขณะที่ นายอารยะ กล่าวถึงผลกระทบทางด้านพานิชย์ของการรถไฟว่า ในช่วงน้ำท่วมการรถไฟต้องงดเดินขบวนรถไฟสายเหนือ 1,370 ขบวน งดขบวนสายตะวันออกเฉียงเหนือ 245 ขบวน งดขบวนสายใต้อีก 453 ขบวน รวมแล้ว 2,073 ขบวน นอกจากนี้มีการงดขบวนรถสินค้า อีกกว่า 1,190 ขบวน รวมแล้วความเสียหายด้านการโดยสารคิดเป็น 424 ล้านบาท และความเสียหายด้านสินค้าอีก 140 ล้านบาท รวมความเสียหายทั้งหมดคิดเป็นประมาณ 564 ล้านบาท และจากการคำนวณจะต้องใช้งบประมาณในการซ่อมแซมเฉพาะในช่วง กรุงเทพฯ-นครสวรรค์ กว่า 50-60 ล้านบาท
ด้านผลกระทบต่อระบบเดินรถของรถไฟฟ้าใต้ดิน หรือ MRT นายวิทูรย์ กล่าวว่า จากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ไม่มีผลกระทบทางกายภาพต่อระบบเดินรถ MRT แต่อย่างใด แต่ได้รับผลกระทบจากจำนวนผู้โดยสารที่ลดลงกว่า 20-25% และทำให้ขาดรายได้ถึง 50-60 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีผลกระทบในด้านบุคลากร เนื่องจากพนักงานได้รับความเดือดร้อนจำนวนมาก และไม่สามารถมาให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ช่วงน้ำท่วมรถไฟฟ้าบีทีเอส รายได้หายไปประมาณ 50 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงน้ำท่วมมีวันหยุดราชการติดต่อกันเป็นเวลานาน รวมถึงผู้คนส่วนใหญ่ทำงานอยู่ที่บ้าน ทำให้มีผู้มาใช้บริการลดลงประมาณ 20%
“แม้รถไฟฟ้าบีทีเอสจะอยู่ในระดับที่น้ำท่วมไม่ถึง แต่มีความเสี่ยงในเรื่องของระบบ เนื่องจากศูนย์ซ่อมบำรุงอยู่ในระดับที่มีความเสี่ยง แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่ได้รับผลกระทบในเรื่องของการเข้าถึงสถานี เช่นที่สถานีหมอชิต ปริมาณน้ำท่วมสูงทำให้เกิดความไม่สะดวกในการเข้าใช้บริการ”
จากนั้น มีการบรรยายพิเศษ “หลักการออกแบบทางรถไฟให้ปลอดภัยจากปัญหาอุทกภัยในอนาคต” โดยนายชูกิจ ธรรมกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบระบายน้ำ บจก.Asian Engineering Consultants Corporation กล่าวถึงสาเหตุน้ำท่วมว่า การก่อสร้างทางรถไฟเป็นการขวางทิศทาง การไหลของน้ำหลาก มีช่องทางระบายน้ำไม่เพียงพอ นอกจากนี้ แม้ใต้รางรถไฟจะมีท่อลอดสำหรับน้ำไหล แต่หากมีคูระบายที่ไม่เพียงพอ น้ำก็จะไม่มีที่จะไป
ทั้งนี้ มีการเสนอวิธีแก้ปัญหา โดยการออกแบบช่องเปิดระบายน้ำให้เพียงพอ และในพื้นที่ลุ่ม ต้องออกแบบช่องเปิดให้มากพอที่น้ำหลากจะระบายลอดผ่านทางรถไฟไปได้ โดยไม่สร้างปัญหามากเกินไป นอกจากนี้ต้องตรวจสอบระดับน้ำสูงสุดไว้เสนอ เพื่อรวบรวมศึกษาข้อมูลในการจัดการระบบระบายน้ำในพื้นที่ ว่าต้องมีการระบายน้ำอย่างไร และจะปล่อยน้ำให้ไหลไปทางไหน
สำหรับรถไฟรางคู่ ให้ทำการเสริมรางระบาย โดยเป็นคูระบายน้ำคอนกรีตระหว่างรางรถไฟ พร้อมทั้งเจาะท่อลอดด้านล่าง เพื่อให้น้ำไหลออกทั้งสองด้านของรางรถไฟได้
ขณะที่ นาย Tetsuhisa KOBAYASHI, Senior Advisor บจก.ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ และอดีตผู้เชี่ยวชาญไจก้า ประจำประเทศไทย ได้ให้หลักการการออกแบบรางรถไฟเพื่อรับมือกับน้ำท่วมไว้ว่า ต้องมีการยกคันรางรถไฟให้สูง 3 เมตร โดยต้องออกแบบให้ Sub ballast ต่ำกว่าระดับน้ำ โดยความสูงระหว่างสันรางกับ Sub ballast ต้องสูงประมาณ 1.2 เมตร โดยปัจจัยที่สำคัญในการรับมือกับน้ำคือ ต้องมีระบบการระบายน้ำที่ดี