- Home
- Thaireform
- ข่าวเด่น นโยบายสาธารณะ
- จัดสรรทรัพยากรเรื่องใหญ่ต้องเร่งแก้ไข นายกฯ ชี้ 4 ความท้าทายสู่ชุมชนเข้มแข็ง
จัดสรรทรัพยากรเรื่องใหญ่ต้องเร่งแก้ไข นายกฯ ชี้ 4 ความท้าทายสู่ชุมชนเข้มแข็ง
“โครงสร้าง-ยุติธรรม-การศึกษา-ทรัพยากร” อภิสิทธิ์ ยอมรับแย่งชิงทรัพยากรปัญหาใหญ่สุด แม้ตั้งชุดเฉพาะกิจร่วมแก้ แต่รัฐ-ชุมชนยังขัดแย้งกันมาก
วันที่ 3 มีนาคม คณะกรรมการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนแห่งชาติ คณะกรรมการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อการปฏิรูป สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย สมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ (สสส.) จัดการประชุมวิชาการฟื้นพลังชุมชนท้องถิ่นสู่การภิวัฒน์ประเทศไทย ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค บางนา กรุงเทพฯ เป็นวันสุดท้าย โดยมี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวสุนทรพจน์ หัวข้อ “ความท้าทายใหม่ของรัฐบาลต่อการผลักดันชุมชนท้องถิ่นจัดการตนเอง”
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงการผลักดันให้เกิดความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น ซึ่งถือเป็นความท้าทายสำหรับคนที่ทำงานในส่วนกลาง ท้องถิ่น และชุมชน ในการผลักดันแนวคิดดังกล่าวในการพัฒนาชาติ โดยเฉพาะ 4 ประเด็นปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไข คือ 1.ปัญหาเชิงโครงสร้าง และกฏหมายที่แม้จะมีรัฐธรรมนูญหลายมาตราที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจหรือเสริมความเข้มแข็งชุมชน แต่ต้องยอมรับว่า ยังมีกฏระเบียบมากมายที่ทำให้หน่วยงานส่วนกลางดำรงอำนาจหน้าที่ตามกฏหมาย ส่งผลให้ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ไม่สามารถแสดงบทบาทได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทั้งนี้หน่วยงานราชการยังกลัวว่าหากมีการถ่ายโอนอำนาจ จะส่งผลให้เกิดปัญหาในการปฏิบัติภารกิจ ซึ่งหลายฝ่ายต้องช่วยกันผลักดันให้เกิดการปฏิรูปกฏหมาย นั่นรวมถึงแถลงการณ์ของคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.)และคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป (คสป.)
“2.ในส่วนของการบังคับใช้กฏหมาย และกระบวนการยุติธรรม ก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน แม้จะมีการแก้ไขด้วยการสร้างกระบวนการยุติธรรมทางเลือก หรือที่เรียกว่า ยุติธรรมชุมชน ก็ยังมีขอบเขตที่จำกัดอยู่ 3.ระบบการเรียนรู้และการศึกษามีความจำเป็นที่ต้องเชื่อมโยงสู่เป้าหมายสำคัญของชาติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโอกาสและคุณภาพทางการศึกษาที่ต้องมีการกระจายให้เกิดความเท่าเทียม ขณะเดียวกันต้องเปิดโอกาสให้ท้องถิ่นมีความยืดหยุ่นอิสระให้สอดคล้องกับความต้องการของชุมชน อย่างเช่น โครงการ 1 มหาวิทยาลัย 1 จังหวัด และการสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) เพื่อสร้างโอกาสให้แก่เด็กและเยาวชนที่อยู่นอกระบบโรงเรียนด้วยเหตุผลหลายประการ”
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงปัญหาประการสุดท้าย ว่า 4.เรื่องระบบทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงสิทธิชุมชนที่ยังคงพบเห็นความขัดแย้งอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินโครงการทับที่ทำกินของชาวบ้าน การบังคับใช้กฏหมายของหน่วยงานที่ตนเองมีความรับผิดชอบในที่ดิน ซึ่งขอยืนยันว่า ปัจจุบันได้แต่งตั้งคณะกรรมการ คณะทำงาน เข้ามาแก้ไขปัญหาดังกล่าว แต่ขณะเดียวก็ยังมีกรณีที่มีความขัดแย้งอยู่จำนวนมากทั่วประเทศ
“สิ่งเหล่านี้เป็นอุปสรรค และความท้าทาย ที่รัฐบาลต้องเผชิญอีกมาก โดยเฉพาะการแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือแม้กระทั่งการให้หลักประกันสวัสดิการถ้วนหน้า ล้วนแล้วแต่ต้องพึ่งพาความเข้มแข็งของชุมชนร่วมที่ต้องทำงานร่วมมือกับส่วนกลางในการสร้างความเข้าใจ ส่งเสริมและสนับสนุน ซึ่งรัฐบาลไม่ได้มุ่งที่จะใช้รูปแบบใดรูปแบบหนึ่งในเป็นมาตรฐานจัดการ หากแต่มีการผสมผสานใช้ อบต. อบจ. เทศบาล เครือข่ายสหกรณ์ หรือแม้กระทั่งการจัดตั้งชุดเฉพาะกิจในการปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น”
ทั้งนี้ ภายหลังการกล่าวสุนทรพจน์เสร็จสิ้น เครือข่ายประชาคมจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อแสดงเจตนารมณ์ขอให้ยกเลิกแผนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยเรียกร้องให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทสไทย (กฟผ.) ยุติแผนการก่อสร้างดังกล่าวภายในวันที่ 15 มีนาคมนี้ พร้อมทั้งให้ทบทวนแผนพัฒนาภาคใต้ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชโดยให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในวันเดียวกัน มีการจัดเวทีอภิปราย “นโยบายพรรคการเมืองต่อการคืนอำนาจให้ชุมชนท้องถิ่น” โดยนางสาวผ่องศรี ธาราภูมิ ตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์, น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ตัวแทนพรรคเพื่อไทย และนายศุภชัย ใจสมุทร ตัวแทนพรรคภูมิใจไทย
นางสาวผ่องศรี กล่าวถึงนโยบายพรรคที่เน้นย้ำเสมอถึงการนำทุกข์ร้อนของประชาชนมาจัดตั้งเป็นนโยบาย ด้วยวิธีการเปิดเวทีทั้งในระดับจังหวัด ภูมิภาค และประมวลความเห็นเป็นประเด็นระดับชาติ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ซึ่งเรียกได้ว่ามีการพัฒนานโยบายพรรคอย่างมีส่วนร่วมกับประชาชน
“อีกประเด็นหนึ่งในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนนั้น โดยส่วนตัวอยากให้มีการจัดตั้งเขตปกครองพิเศษ หรือเขตเศรษฐกิจพิเศษเพิ่มเติมที่ชุมชนสามารถแก้ปัญหาเรื่องราวในท้องถิ่นของตนเองได้ ซึ่งในทางปฏิบัติต้องใช้เวลา” นางสาวผ่องศรี กล่าว และว่า สังคมต้องยอมรับว่า ท้องถิ่นยังไม่มีความพร้อมในทุกพื้นที่ หลายส่วนยังคงไม่สามารถบริหารจัดการรายได้ให้เลี้ยงดูตนเองได้ ซึ่งก็จะต้องพึ่งการสนับสนุนงบประมาณจากส่วนกลางเช่นเคย โดยเฉพาะหากท้องถิ่นยังไม่มีความเข้มแข็ง ก็อย่าหวังว่าการเมืองระดับชาติจะประสบความสำเร็จ เพราะเมื่อในระดับพื้นทีมีการเลือกผู้บริหารที่ดี ก็จะส่งผลให้มีโอกาสในการคัดสรรนักการเมืองระดับดีขึ้นตามลำดับ ท้ายที่สุดชุมชนก็จะได้รับงบประมาณกลับคืนมาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ขณะที่น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวถึงจุดยืนและหลักการของพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่มีเพียงการถ่ายโอนากส่วนกลางสู่ อปท. เพียงอย่างเดียว แต่ต้องปฏิบัติการให้เสมือนกับประชาชนได้มอบอำนาจอธิปไตยคืนสู่ส่วนกลาง อันเป็นแนวคิดของประเทศที่มีความเจริญ และมีความเป็นประชาธิปไตยสูง ฉะนั้น การก้าวเดินตามอุดมการณ์ดังกล่าวเป็นหลักสูตรที่ทุกรัฐบาลต้องเดินตามข้อกำหนดในรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด แต่กว่าที่จะประสบความสำเร็จนั้น ต้องพบกับกรอบอุปสรรคอย่างน้อย 5 กรอบ คือ 1.กรอบกำหนดปฏิบัติที่ถูกต้องต่อการถ่ายโอนอำนาจรัฐไปสู่ท้องถิ่นอย่างครบถ้วน 2.การสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนในเรื่องการใช้งบประมาณ และอำนาจของท้องถิ่น
“3.การพัฒนาบุคลากรที่ต้องติดอาวุธทางปัญญาในการใช้อำนาจรัฐ ซึ่งอยูในลักษณะผู้ที่ใช้กับผู้ที่มารับใช้ต้องสร้างประโยชน์ตามเจตนารมณ์ของชุมชน 4.ขจัดความยึดโยงของงบประมาณจากภาครัฐ ซึ่งเป็นอุปสรรคที่ทำให้หลายนโยบายต้องหยุดชะงัก 5.ในการเลือกตั้งผู้บริหารส่วนท้องถิ่น ภาครัฐต้องปลีกตัวออกมาเป็นพี่เลี้ยง เพื่อสร้างความบริสุทธิ์ยุติธรรมให้แก่ชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพ”
น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวอีกว่า สาเหตุที่ภาครัฐต้องทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้แก่ท้องถิ่น เพราะในจังหวัดที่มีสมาชิกผู้แทนราษฏรเป็นฝ่ายค้าน การเข้าถึงงบประมาณของท้องถิ่นเป็นไปอย่างยากลำบาก ทำให้ไม่เกิดความเท่าเทียม ดังนั้น รัฐบาลจะต้องคิดใหม่ทำใหม่ ด้วยการจัดตั้งองค์กรอิสระเพื่อสร้างความเชื่อมโยงระหว่างภาครัฐและผู้บริหารชุมชน
ส่วนนายศุภชัย กล่าวว่า แม้กฏหมายหลายส่วนจะพยายามทำให้ประชาชนมีสิทธิเกิดขึ้นเป็นรูปธรรมากที่สุด แต่จะพบว่าทุกอย่างเป็นไปตามบทบัญญัติที่กฏหมายกำหนด นั่นหมายถึงประชาชนจะได้รับสิทธิมากน้อยเพียงใดก็ต้องเป็นไปตามกรอบที่รัฐกำหนดไว้ให้ ซึ่งเป็นการออกแบบจากส่วนกลางอย่างกรุงเทพฯ นี่คือสิ่งที่สังคมต้องยอมรับความจริง
“วันนี้สิทธิชุมชนเป็นเพียงวาทกรรมที่พูดกันอย่างเลื่อนลอย จับต้องไม่ได้ การรวบอำนนาจไว้ที่ส่วนกลางยังคงดำรงอยู่และมีต่อไป เพราะสังคมไทยถูกออกแบบให้เป็นเช่นนี้ โดยส่วนตัวยังไม่เห็นภาพที่ชัดเจนว่าประเทศไทยจะกระจายอำนาจลงสู่ชุมชนได้อย่างไร” นายศุภชัย กล่าว และว่า ยังไม่มีความมั่นใจ ระดับท้องถิ่นจะมีความพร้อมมากน้อยเพียงใด ซึ่งทางออกในการกระจายอำนาจสู่ชุมชนนั้น อาจต้องเริ่มจากการ "ดีไซน์" ประเทศ ออกแบบโครงสร้างกันใหม่ พร้อมทั้งเปลี่ยนทัศนคติของรัฐบาล ว่าหากได้โอกาสเข้ามาบริหารประเทศนั้นจะยังต้องการอำนาจอย่างเต็มไม้เต็มมืออยู่เช่นเดิมหรือไม่