- Home
- Thaireform
- ข่าวเด่น นโยบายสาธารณะ
- กก.ปฏิรูปแนะ รบ. เปิดโอกาสปชช. “รวมตัว – ต่อรองได้”
กก.ปฏิรูปแนะ รบ. เปิดโอกาสปชช. “รวมตัว – ต่อรองได้”
‘ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ’ ชี้เมื่อรัฐไม่กล้าแตะอำนาจทุน ต้องเอื้อให้ปชช. สู้เองได้ ด้านประธานคสรท. วอนรัฐเพิ่มพื้นที่แรงงานร่างกม. คลายปมปัญหาอย่างตรงจุด
เมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อฯ ร่วมกับผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตรการสื่อสารมวลชนระดับต้น (กสต.) รุ่นที่ 2 และสำนักงานศาลยุติธรรม จัดสัมมนาเวทีสาธารณะ หัวข้อ “ชำแหละ! ทางออกปัญหา “รวย-จน” แก้วิกฤตสังคมไทย” ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 7 อาคารสถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ โดยมีวิทยากรตัวแทนจากภาครัฐ นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี คณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคาร และสถาบันการเงิน ตัวแทนจากภาควิชาการ รศ.ดร. ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ กรรมการปฏิรูป และกรรมการสมัชชาปฏิรูป ศ. ดร. พรายพล คุ้มทรัพย์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และตัวแทนจากภาคแรงงาน นางสาววิไลวรรณ แซ่เตีย ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) ร่วมอภิปราย
นางสาววิไลวรรณ กล่าวว่า ปัญหาความยากจน และการขาดสวัสดิการของแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบนั้น ไม่มีค่าจ้างขั้นต่ำและไม่สามารถต่อรองใดๆ ได้ ทั้งยังเสนอด้วยว่าการออกกฎหมายของภาครัฐควรเปิดพื้นที่ให้ภาคประชาชนมี โอกาสเข้าไปแสดงความคิดเห็นต่อกฎหมายซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับชีวิตประจำวัน ไม่อย่างนั้นกฎหมายทุกฉบับเกี่ยวกับสังคมจะไม่สามารถตอบโจทย์ปัญหาได้อย่าง แท้จริง เพราะแม้ประชาชนจะไม่มีความรู้ทางกฎหมาย แต่ก็เป็นผู้รู้ปัญหา และกฎหมายก็ออกมาเพื่อประชาชน
“ปัจจุบันราคาสินค้าสูงขึ้น แต่ค่าจ้างแรงงานยังเท่าเดิม ซึ่งกระทบต่อชีวิตประจำวันมาก จึงเป็นสาเหตุของปรากฏการณ์การขับเคลื่อนของภาคประชาชนที่เห็นอยู่นี้ ที่ผ่านมาโครงการต่างๆ ของรัฐบาล เช่น โครงการต้นกล้าอาชีพ ที่มุ่งหวังช่วยเหลือคนตกงาน ก็เป็นเพียงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ใช่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน เนื่องจากไม่ได้มีการตรวจสอบว่าภายหลังจากการเรียนรู้อาชีพแล้ว มีการเปิดตลาดรองรับอาชีพดังกล่าวหรือไม่ และผู้มีอาชีพ มีรายได้จากโครงการดังกล่าวมีจำนวนกี่คน”
ด้านศ.ดร. พรายพล กล่าวว่า ในการแก้ปัญหาความยากจน เศรษฐกิจต้องดีขึ้นในระดับหนึ่งก่อน เพื่อให้สามารถแบ่งสันปันส่วนไปยังผู้ที่ประสบปัญหาได้ ต้องบริหารให้มีขนาดของก้อนเค้กที่ใหญ่ขึ้น เพิ่มขึ้นทุกๆ ปี เศรษฐกิจต้องขยายตัว รายได้โดยรวมของประเทศจะต้องดีขึ้น และรัฐบาลต้องคำนึงด้วยว่าในการจะช่วยประชาชนต้องมีวิธีที่ไม่ให้เศรษฐกิจ โดยรวมตกต่ำลง
ศ.ดร. พรายพล กล่าวถึงเงินอุดหนุนของรัฐบาลด้วยว่า นับว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับคนที่มีรายได้น้อย แต่ยังมีเงินอุดหนุนอีกหลายรูปแบบของรัฐบาลที่คนรวย และคนรายได้ปานกลางยังได้ประโยชน์ด้วย ทำให้รัฐบาลต้องแบกรับภาระที่เพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น และประเทศโดยรวมก็จะย่ำแย่ไปด้วย เงินในกองทุนที่จะสามารถไปสร้างอะไรดีๆ ให้ประเทศก็จะน้อยลงไป และเป็นปัญหาในระยะยาว ดังนั้นถ้าอยากจะช่วย ต้องหาวิธีให้ตรงจุด เฉพาะกลุ่ม และไม่รั่วไหลด้วย
นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า มาตรการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจของรัฐบาล กำลังอยู่ในช่วงการดำเนินการเป็นขั้นตอน เช่น นโยบายประชาวิวัฒน์ ที่ดูเหมือนเน้นการอัดฉีดเงิน ซึ่งทางรัฐบาลมองว่า เป็นการนำเอาเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ เพื่อเป็นการกระจายรายได้เข้าสู่ประชาชนให้เร็วที่สุด
นอกจากนี้ตัวแทนฝ่ายรัฐบาล กล่าวด้วยว่า สำหรับวิกฤติของแพงในปัจจุบันเป็นวิกฤติที่ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เนื่องจากเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลก แต่กลไกของรัฐบาลเชื่อว่าการใช้วิธีการอักฉีดเม็ดเงินช่วยเหลือประชาชนก่อน จะเป็นกลไกที่ทำให้ความยากจนหมดไป
“วิกฤติของแพงเป็นวิกฤติที่แก้ไม่ได้ ต่อให้ 10 มิ่งขวัญ 100 เฉลิม ก็แก้ไม่ได้ ราคาสินค้าต้นน้ำและสินค้าปลายน้ำก็สูงไปเรื่อยเช่นกัน เพราะเป็นวิกฤติที่เกิดขึ้นทั่วโลก”
รศ.ดร. ณรงค์ กล่าวว่า สังคมไทยมีความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้ที่น่าเป็นห่วง อยู่ในระดับสูงมาตลอด ซึ่งไม่ต่างกับประเทศกำลังพัฒนา และความเหลื่อมล้ำที่กล่าวถึงมาตลอดนั้น ไม่มีรัฐบาลใดที่ผ่านมาแก้ไขได้ผลสำเร็จ รวมทั้งไม่สามารถทราบได้ว่า ปัญหาดังกล่าวจะบรรเทาลงได้อย่างไร และเมื่อใด แต่สาเหตุของความยากจนไม่ได้มีแค่มิติของคำว่าเงิน และรายได้เท่านั้น ยังหมายรวมถึงการเข้าถึงปัจจัยการผลิต สิทธิ โอกาส และอำนาจต่อรอง
“ทุกวันนี้โครงสร้างพิการหมดแล้ว ระบบทุนนิยมก็ไม่ได้แข่งขันกันจริงๆ รัฐบาลก็แก้ไขปัญหาความยากจนเพียงตามอาการ ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่สาเหตุ ฉะนั้น ความยากจน ความเจ็บปวดก็ทุเลาลงเพียงชั่วคราว ไม่มีรัฐบาลชุดไหนที่กล้าปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ และอำนาจทุน แต่การปฏิรูปทั้งหมดจะเกิดขึ้นไม่ได้หากรัฐบาลไม่กล้าแตะอำนาจทุน และหากมีอำนาจของนายทุนอยู่เบื้องหลัง สิ่งที่สำคัญที่สุดในการแก้ปัญหา คือประชาชนต้องตระหนักและมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา ไม่ใช่หน้าที่ของอำนาจรัฐเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้น รัฐบาลควรเอื้อให้ประชาชนต่อรองได้เอง แต่ไม่ใช่เพียงเปิดโอกาสให้รวมตัว แล้วไม่เปิดโอกาสให้เรียกร้อง ต่อรองก็ไม่มีประโยชน์”