- Home
- Thaireform
- ข่าวเด่น นโยบายสาธารณะ
- ครม.สั่งอนุกก.ฯ ไปศึกษาใหม่ ติดใจเปิดเขื่อนปากมูลน้ำแห้ง
ครม.สั่งอนุกก.ฯ ไปศึกษาใหม่ ติดใจเปิดเขื่อนปากมูลน้ำแห้ง
นายกฯ ยันระดับน้ำชัดเจน “อิสสระ สมชัย” จะไม่ค้านอีก ด้าน “สาทิตย์” ย้ำชัด ไม่ได้ซื้อเวลา แต่เป็นเรื่องข้อมูลที่ไม่ตรงกัน พร้อมโชว์ปัญหานี้ถูกนำมาพิจารณาใน ครม. ตั้งแต่ปี 2532 นับรวมแล้ว 61 ครั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า หลังจากเมื่อวันที่ 7 มีนาคม ตัวแทนขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) เข้าเจรจากับนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยมีข้อสรุปร่วมกันว่าจะนำ 10 เรื่องเข้าสู่การพิจารณาคณะรัฐมนตรี โดยให้มีมติ ครม. เห็นชอบ และรับทราบ สำหรับกรณีปัญหาต่างๆ และให้มีการแต่งตั้งกลไกในการแก้ไขปัญหาต่อไปนั้น
รัฐบาลติดใจ หวั่นเปิดเขื่อนน้ำแห้ง
ล่าสุด วันที่ 8 มีนาคม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงปัญหาเขื่อนปากมูลว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้เชิญอนุกรรมการศึกษาข้อมูลงานวิจัยและข้อเท็จจริง ที่เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาเขื่อนปากมูลฝ่ายวิชาการมาหารือเรื่องระดับน้ำ ซึ่งอนุกรรมการฯ ได้แสดงให้เห็นตัวเลข โดยระบุว่าระดับแม่น้ำมูลในขณะนี้สูงกว่าแม่น้ำโขง 11 เมตร เพราะฉะนั้นหากเปิดในช่วงนี้อาจจะมีผลกระทบเรื่องน้ำแห้งได้ ทำให้คณะรัฐมนตรียังติดใจ ดังนั้น จึงให้คณะอนุกรรมการฯ กลับไปศึกษาใหม่
ส่วนที่นายอิสสระ สมชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ค้านการเปิดเขื่อนในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เนื่องมาจากระดับน้ำ กลัวว่าน้ำจะแห้ง แต้ถ้าระดับน้ำชัดเจนแล้วก็ไม่ต้องคัดค้านอะไรอีก ทั้งนี้ กรณีที่ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือกลุ่มเคลื่อนไหวอิสระที่ปักหลักชุมนุมอยู่คงต้องใช้เหตุและผลในการทำความเข้าใจ จะไปตามใจใครทั้งหมดคงไม่ได้
ขณะที่นายสาทิตย์ กล่าวว่า หลายฝ่ายกังวลว่า หากเปิดเขื่อนน้ำจะหมด ในขณะที่ผู้เรียกร้องยืนยันข้อมูลที่สวนทางกัน นายกรัฐมนตรีจึงได้สั่งการให้คณะกรรมการชุดของตนนำเรื่องไปนี้ไปพิจารณาอีกครั้ง เพื่อหาระดับน้ำที่เหมาะสมระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย โดยจะต้องทำให้แล้วเสร็จภายใน 45 วัน
“เรื่องของเขื่อนปากมูล ซึ่งเป็นปัญหาที่ได้ถูกนำมาพิจารณาใน ครม. ตั้งแต่ปี 2532 นับรวมแล้วก็ 61 ครั้ง ฉะนั้นจึงไม่ใช่เป็นเรื่องของการซื้อเวลาแต่เป็นเรื่องของข้อมูลที่ยังไม่ ชัดเจน เนื่องจากการศึกษาวิจัยที่ผ่านมาอยู่ภายใต้ภาวะระดับน้ำโขงที่ปกติ ซึ่งขณะนี้มีระดับที่เปลี่ยนแปลงของระดับน้ำโขงและเขื่อนปากมูลถึง 11 เมตร ซึ่งนักวิชาการก็ยอมรับว่า ที่ศึกษามายังไม่ครอบคลุมถึงปัญหาดังกล่าว”
นำร่องกองทุนธนาคารที่ดิน 167 ล้านบาท
ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรียังเห็นชอบสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดการปัญหาต่อให้แล้วเสร็จจำนวน 6 เรื่อง เช่น กรณีชุมชนบ้านพิมาน แต่งตั้งอนุกรรมการเพื่อพิจารณาโรงไฟฟ้าชีวมวล และให้ชะลอการต่อสัญญาสัมปทาน เพื่อตรวจสอบผลกระทบต่างๆ ในกรณีเหมืองแร่
นายสาทิตย์ กล่าวอีกว่า กรณีนำร่องกองทุนธนาคารที่ดิน 167 ล้านบาท ใน 5 หมู่บ้านในจังหวัดลำพูน และเชียงใหม่ ครม. ได้เห็นชอบอนุมัติร่างกฤษฎีกาเป็นที่เรียบร้อย ส่วนเรื่องบ้านมั่นคงคนไร้บ้านนั้น ได้อนุมัติในหลักการ และงบประมาณ พร้อมทั้งผ่อนปรนหลักเกณฑ์ตามหลักบ้านมั่นคง โดยกระทรวงการคลังเสนอตัวว่า จะดำเนินการร่วมกับกระทรวงพัฒนาการสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ให้หาที่ดินเพิ่มเติม
จับมือเซ็น MOU โฉนดชุมชน
ส่วนข้อเรียกร้องกรณีโฉนดชุมชน นายสาทิตย์ กล่าวว่า วันพรุ่งนี้ (9 มี.ค.) เวลาประมาณ 10.30 น.จะมีการเซ็นเอ็มโอยูเรื่องโฉนดชุมชนระหว่างสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีกับทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ซึ่งเชื่อว่า แม้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะยังไม่มีความชัดเจน ในการดำเนินการดังกล่าว แต่การเซ็นเอ็มโอยูร่วมกันนั้นจะทำให้ทุกอย่างเร่งรัดไปในทางที่ดีขึ้นได้
“มติ ครม. ได้อนุมัติให้ชาวบ้านเข้าไปทำกินในพื้นที่เดิมตามหลักการโฉนดชุมชน ส่วนชาวบ้านที่ถูกดำเนินคดีมาก่อนหน้าที่จะมีนโยบายนั้นยังไม่สามารถหยุด ยั้งการพิจารณาของศาลได้ แต่สิ่งที่ทำได้หลังจากนี้คือเมื่อกระบวนการบังคับดีเสร็จสิ้นให้ชะลอเรื่อง การบังคับคดีไว้ก่อน”
หยิบ 2 ข้อเสนอ คปร.พิจารณา
กรณีข้อเสนอการปฏิรูปที่ดินของคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) นายสาทิตย์ กล่าวว่า ที่ประชุมได้มีการหยิบยกขึ้นมาพิจารณา โดยมีเรื่องที่เห็นชอบ 2 เรื่อง 1.การเปิดข้อมูลถือครองที่ดินเพื่อการเกษตรที่เป็นข้อมูลสาธารณะ ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้ความเห็นชอบดำเนินการร่วมกับกรมที่ดิน เพื่อหากลไกวิธีการ คาดว่าจะดำเนินการต่อเนื่องภายในเดือนนี้ เนื่องจากกระทรวงเกษตรมีข้อมูลรองรับอยู่แล้ว 2.ดำเนิน การคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรม โดยเรียกว่า เขตเศรษฐกิจพิเศษเพื่อการเกษตร ซึ่งกระทรวงเกษตรฯและกระทรวงอื่นๆ เห็นชอบที่จะตั้งคณะกรรมการและจัดทำเป็นระเบียบสำนักนายกฯ
“สำหรับการจัดสรรการถือครองที่ดินนั้น ที่ประชุมยังมีความเห็นต่างกันอยู่ โดยนายกรัฐมนตรีขอให้พิจารณาประเด็นนี้กันใหม่อีกครั้ง เนื่องจากข้อชี้แจงถึงการจำกัดการถือครองที่ดินไม่เกิน 50 ไร่ในส่วนบุคคลหรือนิติบุคคลนั้น ต้องใช้เวลาส่งข้อมูลในรายกระทรวงอีกระยะหนึ่ง ในขณะที่เรื่องภาษีอัตราหน้านั้นกระทรวงการคลังต้องกลับไปทำความเห็นกลับมา เสนอต่อ ครม. ใหม่อีกครั้งหนึ่ง”
ด้านนางสาวนพพรรณ พรหมศรี ที่ปรึกษาเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย (คปท.) กล่าวว่า มติ ครม. ในเรื่องบ้านมั่นคงคนไร้บ้านนั้นยังไม่มีความชัดเจนเพียงพอ เนื่องจากก่อนหน้าที่จะนำเสนอเข้าคณะรัฐมนตรีนั้น ได้มีการเปิดโต๊ะเจรจาร่วมกับหลายหน่วยงานไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพมหานคร, สำนักคุ้มครองสวัสดิภาพชุมชน และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน ซึ่งเห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าว
“หลักการดังกล่าวจากมติ ครม. ทางเครือข่ายมีความเห็นว่า แม้จะผ่านความเห็นชอบไปแล้ว แต่ก็มีเงื่อนไขให้ไปหาที่ดินของรัฐก่อนที่จะจัดสรรให้ชาวบ้าน ซึ่งโดยหลักการนั้นเป็นเรื่องดี แต่ข้อเท็จจริงทราบดีว่าการจัดสรรที่ดินของรัฐในเมืองหลวงนั้นมีความเป็นไป ได้ยากมาก”
ทั้งนี้นางสาวนพพรรณ กล่าวอีกว่า แม้กรณีบ้านมั่นคงจะมีความชัดเจนที่สุดในกลุ่ม ขปส. แต่การที่จะอยู่ต่อหรือไปนั้น ไม่สามารถตัดสินใจบนพื้นฐานของคนกลุ่มเดียวได้ ดังนั้นจะต้องหามติที่ประชุมเครือข่ายทั้งหมดก่อนว่าจะเคลื่อนไหวอย่างไรต่อ ไป ทั้งนี้การเดินทางมาปักหลักชุมนุมซึ่งเป็นวันที่ 21 แล้วนั้น งบประมาณในการจัดสรรอาหารเริ่มถดถอย ซึ่งทุกคนยืนยันว่าจะยอมประหยัดกันมากขึ้นดีกว่าถอยหลังกลับไปตั้งหลักที่เดิม