- Home
- Thaireform
- ข่าวเด่น นโยบายสาธารณะ
- ผู้แทนเครือข่ายร่วมประกาศเจตนารมณ์ “สร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม”
ผู้แทนเครือข่ายร่วมประกาศเจตนารมณ์ “สร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม”
วันที่ 25 มีนาคม ห้องประชุมปฏิรูป 3 ผู้แทนกลุ่มเครือข่าย ร่วมกันประกาศเจตนารมณ์เพื่อแสดงความมุ่งมั่นในการรวมพลังปฏิรูปประเทศไทย ในหัวข้อ “สร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม” ครั้งที่ 2 ในงานสมัชชาปฏิรูประดับชาติ ครั้งที่ 1 พ.ศ.2554 ณ อิมแพ็ค คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ เมืองทองธานี โดยมี ดร.เพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์ กรรมการปฏิรูป กล่าว ว่า เวทีประกาศเจตนารมณ์ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะร่วมกันนำเสนอความคิดเห็น เพื่อขับเคลื่อนสังคม เพื่อแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรม ที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยาก และมีความสลับซับซ้อนจึงต้องการพลังในการเปลี่ยนแปลงสังคมค่อนข้างมาก ดังนั้นทุกคนที่ร่วมกันประกาศเจตนารมณ์จะเป็นส่วนหนึ่งของกำลังใจ และเป้นพลังในการขับเคลื่อนข้อเสนอภาคประชาชนต่อไป
นายมะลิ ทองคำปลิว ผู้แทนกลุ่มเครือข่ายสิ่งแวดล้อมภาคประชาชนจังหวัดพิษณุโลก
“79 ปีที่ผ่านมา อำนาจทั้งหมดรวมศูนย์อยู่ที่กรุงเทพฯ ระบบการจัดการ การจัดสรรงบประมาณ และอำนาจการตัดสินใจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อคนไทยทุกภาคส่วน ไม่เว้นแม้กระทั่งประชาชนในพื้นที่ชนบท การสัมปทาน เหมืองแร่ทองคำ แร่เหล็ก แร่ทองแดง หรือโรงโม่หิน ล้วนทำให้แหล่งอาหารธรรมชาติถูกทำลาย มลพิษ ฝุ่นละออง น้ำเสีย มีผลกระทบต่อสุขภาพ วิถีดำเนินชีวิต และระบบการเกษตร เหล่านี้ คือ ความยากลำบากของผู้คนที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ เหล่านี้ คือ ผู้ที่ถูกกันออกจากการตัดสินใจในการพัฒนาประเทศ
สำหรับ การปฏิรูปประเทศไทยในครั้งนี้ คือการเข้ามารื้อระบบร่วมกันของท้องถิ่น ปรับเปลี่ยนให้ชุมชนเข้าไปมีส่วนร่วม ก่อให้เกิจดังหวัดจัดการตนเอง เราจะก้าวข้ามความขัดแย้งร่วมกัน นี่คือความหวัง และทางเลือกของสังคมไทย”
นายภูวนารถ บัวเนียม คณะทำงานคดีคนจนภาคใต้อันดามัน
“ปัจจุบัน การเข้าถึงคดีความของคนจนเป็นไปได้ด้วยความยากลำบาก ข้าราชการคอร์รัปชั่น นายทุนเอารัดเอาเปรียบจนไม่สามารถเอาผิดกับใครได้ ส่งผลให้งบประมาณแผ่นดินสูญเปล่า
วันนี้ ถือเป็นนิมิตหมายที่ดียิ่ง ในการ ช่วยกันระดมปัญหาหาทางออกร่วมกัน ซึ่งหวังป็นอย่างยิ่งว่า จากการระดมความคิดเห็นจะนำมาซึ่งการปฏิรูปใหญ่ในครั้งนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสังคมไทยจะมีความเป็นธรรม และยุติธรรมมากขึ้น”
พ.ท.กมลพรรณ ชีวพันธ์ศรี สมาคมเครือข่ายผู้ปกครองแห่งชาติ
“สังคม ไทยมีปัญหาเรื่องกระบวนการได้มาซึ่งผู้แทนราษฏร การเลือกตั้งที่บิดเบี้ยวไม่เป็นไปตามธรรมชาติ การทุ่มงบประมาณจำนวนมากเพื่อให้ได้รับคะแนนเสียง การทุจริตการเลือกตั้งหลากหลายรูปแบบ เราพบเหลี่ยมคนกลโกงมากมาย เหล่านี้ทำให้นโยบายภาครัฐส่งผลให้ประชาชนเดือดร้อน เพราะผู้แทนราษฏรที่เข้ามาหวังที่จะถอนเงินคืนจากสิ่งที่ลงทุนไป
การ แก้ปัญหาที่สำคัญ และน่าจะเป็นเรื่องที่เร่งด่วนที่สุด คือการแก้ไขหลักเกณฑ์การเลือกตั้ง ให้ประชาชนมีโอกาสได้ผู้แทนที่ตนเลือก ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างระบบธรรมาภิบาลให้เกิดขึ้นภายในองค์กรรัฐวิสาหกิจ องค์กรอิสระ และหน่วยงานราชการ อันจะส่งผลให้เกิดความรักชาติกับประชาชนคนไทยทุกคน”
นายสมพงษ์ อินทรสุวรรณ กรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดชุมพร
“การปฏิรูปประเทศไทยเหมือนคนไข้ที่รอหมอมารักษาอาการ ซึ่ง ใช้ยาธรรมดารักษาไม่หาย ฉะนั้นสังคมทุกภาคส่วนต้องร่วมคิดร่วมทำ หัวใจสำคัญของการปฏิรูปคงหนีไม่พ้นปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของนักการเมือง และผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้ง โดยสิ่งแรกที่จะปฏิรูปคือพฤติกรรมของผู้ใช้สิทธิ์ เพราะมีหน้าที่เลือกผู้แทนเข้าไปทำหน้าที่บริหารประเทศ หากสมมติเรามีโอกาสได้รับเลือกบ้าง จะต้องตั้งเป้าหมายให้ได้ว่าจะปฏิรูปอะไรกันบ้าง จึงขอวิงวอนให้ใช้เจตนารมณ์ของประเทศร่วมกัน จงใช้สามัญสำนึกที่จะช่วยส่วนรวม มากกว่ากำไรส่วนตัวเพื่อขอทุนคืน ดังเช่นคนญี่ปุ่นที่ได้แสดงให้เห็นวินัยในวิกฤตของชาติร่วมกัน”
ดร.สุชาดา เมฆรุ่งเรืองกุล ผู้ประสานงานเครือข่ายผู้หญิงพลิกโฉมประเทศไทย
“ใน วาระการปฏิรูปประเทศไทย องค์สตรีที่มีไม่ต่ำกว่า 50 องค์กร ได้ร่วมกันสร้างความเป็นธรรม สร้างความเสมอภาคระหว่างหญิงชาย และในฐานะสตรีที่เป็นหุ้นส่วนครึ่งหนึ่งของประเทศไทย มีความตั้งใจในการให้ความร่วมมือพลิกโฉมปฏิรูปประเทศไทย ดังที่ประชาชนได้ตั้งความหวังไว้ จึงขอประกาศเจตนารมณ์ในฐานะเครือข่ายผู้หญิงพลิกโฉมประเทศไทย ดังต่อไปนี้
1.ปฏิรูป ประเทศเพื่อมุ่งขจัดความเหลื่อมล้ำ สร้างสังคมที่เป็นธรรม ต้องขจัดความเหลื่อมล้ำระหว่างเพศ สร้างความเสมอภาคอย่างจริงจัง 2.มุ่งมั่นส่งเสริมรวมพลังสตรีที่ถือเป็นประชากรมากกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศ โดยร่วมมือกับคณะกรรมการปฏิรูปเพื่อรวมพลังขจัดความเหลื่อมล้ำ และ 3.มุ่งมั่นส่งเสริมให้สตรีผนึกกำลังร่วมกันกับองค์กรภาคีอื่นๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน ให้เข้าร่วมกระบวนการปฏิรูปอย่างเต็มที่ เพื่อมุ่งหมายที่จะขจัดความเหลื่อมล้ำ สร้างสังคมที่เป็นธรรม”
นายทวีชัย ลิยี่เก ผู้แทนกรมธนารักษ์
“หาก มองย้อนกลับไปในอดีตจะเห็นว่า รัฐมุ่งพัฒนาประเทศในด้านอุตสาหกรรมตามอย่างประเทศที่พัฒนาแล้ว การถือครองที่ดินจึงเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม รัฐให้สิทธิ์การถือครองอย่างเสรี ที่ดินถูกใช้ในลักษณะสินทรัพย์ที่มีมูลค่า ทำให้เกิดการถือครองยึดครองที่ดิน ที่ราชพัสดุก็เช่นกัน มีวัตถุประสงค์ไว้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินเพื่อจัดการบริการสาธารณะของ ประเทศ 12.5 ล้านไร่
แต่ ปัจจุบันกลับมีประชาชนเข้ามายึดครองพื้นที่ถึง 2 ล้านไร่ แต่อย่างก็ดี การแก้ไขปัญหาของกรมธนารักษ์ได้ใช้แนวทางประนีประนอมประสานประโยชน์ระหว่าง รัฐ และประชาชนตามหลักเกณฑ์การพิสูน์สิทธิการถือครองในที่ดินของรัฐ โดยหากผลการพิสูจน์สิทธิปรากฏว่าราษฏรมีสิทธิดีกว่ารัฐก็จะออกเอกสารสิทธิ์ ให้ แต่ในทางกลับกันหากรัฐถือสิทธิที่ดีกว่า จะจัดสรรที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ให้แก่ผู้บุกรุกเช่าทำกิน และอยู่อาศัยต่อไป
ทั้ง นี้กรมธนารักษ์เห็นว่า หากนำแนวทางการแก้ไขปัญหาทั้ง 5 ประเด็นของคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) ไปดำเนินการอย่างต่อเนื่องบูรณาการกับทุกภาคส่วน จะมีพลังสามารถนำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืน ซึ่งกรมธนารักษ์ขอเป็นส่วนในฐานะหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ในการปกครองดูแล ที่ดินของรัฐ”
นายวิรัตน์ พรมสอน เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย
“ทางออก ที่จะสร้างความสุข สงบ สันติ ให้เกิดขึ้นในสังคม นอกจากรัฐจะต้องแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างที่เป็นต้นเหตุของปัญหาให้ได้เสีย ก่อนเป็นประการแรก ทางออกที่สองคือ ประชาชนทุกภาคส่วนจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องลุกขึ้นมาปลดโซ่ตรวนของความไม่ เป็นธรรมนั้นออกเสียเอง ด้วยการจัดการแก้ไขกับปัญหาที่มีอยู่โดยไม่ต้องรอฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเข้ามาช่วย เหลือ และประการสุดท้าย องค์กรชุมชนต่างๆ ที่มีจะต้องร่วมกันติดตามตรวจสอบและผลักดันอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดความ เป็นธรรมอย่างยั่งยืน”