- Home
- Thaireform
- ข่าวเด่น นโยบายสาธารณะ
- อดีตผบ.สส. เปรียบประเทศไทย เหมือนพายเรือในอ่าง
อดีตผบ.สส. เปรียบประเทศไทย เหมือนพายเรือในอ่าง
พล.อ.บุญสร้าง ชี้เหตุมาจากมีการทะเลาะกันตั้งแต่ยอดหญ้ายันรากหญ้า จนสังคมแตก เสนอพัฒนาคน ให้เป็นพลเมือง ซื่อสัตย์ กล้าหาญ ตั้งร.ร.ประชาธิปไตยสอนผู้ใหญ่ “อดีตปธ.รัฐสภา” ย้ำชัดสภาฯ ยังมีประโยชน์ ยันสส.ไม่ดี ต้องโทษปชช.
วันที่ 30 มีนาคม กลุ่มจับกระแสเอเชีย สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ Siam IntelligenceUnit (SIU) จัดการเสวนาวิชาการเรื่อง "ประเทศไทยจะไปทางไหนกัน?" ณ ห้องประชุม 402 อาคารมหิตลาธิเบศร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีศ.นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุล อธิการบดีจุฬาฯ กล่าวเปิดงาน
พลเอกบุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด กล่าวว่า ประเทศที่เจริญแล้ว คนจะสามัคคีกัน เห็นได้จากญี่ปุ่น สาธารณรัฐประชาชนจีน ขณะที่ปัญหาหลักที่ทับถมประเทศไทยอยู่ในขณะนี้ คือการทะเลาะกันหลายกลุ่ม ตั้งแต่ยอดหญ้ายันรากหญ้า โดยสังคมแตกแยกพลังจะฆ่ากันเอง เป็นการชักเย่อกันเอง ทำให้ไม่มีเอกภาพเพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมาย ดังนั้น เมืองไทยจึงดึงกันไปดึงกันมา เหมือนพายเรือในอ่างวนไปวนมาไม่ไปไหน
“ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง เห็นได้ชัดว่า ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจมีอยู่ ได้มาจากภาคเอกชน ค้าขายไปได้ดี ไปได้ไกล แต่ก็มีบางเรื่อง เช่น การเมือง สังคมกลับแย่”อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด กล่าว และว่า เรื่องเร่งด่วนที่ต้องทำขณะนี้ คือการพัฒนาคน ให้การศึกษากับเยาวชน เพื่อเตรียมคนให้เป็นคนที่มีประสิทธิภาพ มีความเป็นพลเมือง ซื่อสัตย์ มีความกล้าหาญ ความเพียร ซึ่งระหว่างที่รอผลเยาวชนเติบโตขึ้นมานั้น ก็ขอเสนอให้มีการตั้งโรงเรียนประชาธิปไตย ที่เป็นของรัฐบาล เพื่อสอนผู้ใหญ่ คนที่โตแล้วด้วย
ขณะที่นายอุทัย พิมพ์ใจชน อดีตประธานรัฐสภา กล่าวถึงการเมืองปัจจุบัน ที่มีคนมองเป็นเรื่องยาก งง ไปรู้จะไปทางไหน และจะไปกันอย่างไร ว่า สังคมไทยยังไม่ถึงขั้นน่าวิตกตามที่กล่าวมา หากดูเหตุว่า เกิดจากอะไร
“ประเทศไทยเหมือนคนป่วย ปัญหาระบบการเมืองการปกครอง เกิดจากที่เราไม่เชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย เมืองไทยที่ยุ่งทุกวันนี้ ไปไหนไม่ได้ เพราะเหตุเราไม่เชื่อมั่นระบอบประชาธิปไตย เราไม่เอาอะไรสักอย่าง จะเผด็จการ คอมมิวนิสต์ ประชาธิปไตย ก็เลือกสักอย่าง แต่นี่อะไรก็ไม่เอา เราจำเป็นต้องมาพูดกัน ที่มีข่าวจะปิดเทอม รัฐประหาร จะเอากันอย่างไร”
อดีตประธานรัฐสภา กล่าวถึงมุมมองที่มีต่อสภาผู้แทนราษฎรว่า ผู้แทนราษฎร คือ เงาสะท้อนของประชาชน ซึ่งการเปลี่ยนมุมมองของคนในสังคม จะทำให้เห็นถึงความสำคัญของสภาฯ พร้อมยกตัวอย่าง หากเจอ ส.ส. พูดคำ พันแขนท้าชก สองคำยกตีนถีบ นายกรัฐมนตรีต้องสงสัยแล้วว่า จังหวัดนี้ นักเลงเยอะ ต้องสั่งการให้รัฐมนตรีมหาดไทย ส่งผู้กำกับดีๆ ผู้ว่าราชการจังหวัดดีๆ ลงไปปฏิบัติหน้าที่ หรือ พบ ส.ส. ซื้อเสียงถูกเลือกเข้ามาในสภาฯ นายกรัฐมนตรีก็ต้องรู้แล้วว่า จังหวัดนี้คนจนเยอะ ถึงซื้อเสียงง่าย ดังนั้นควรเรียก รมว.คลังไปดู ไปพัฒนาเศรษฐกิจจังหวัดนี้เป็นพิเศษ เป็นต้น นื่คือประโยชน์ของสภาฯ
นายอุทัย กล่าวด้วยว่า ทัศนคติของคนไทยยังนิยม เลือกคนใจถึงพึ่งได้ เงินไม่มากาไม่เป็น เปรียบเหมือนแม่ปูเดินคดอย่างไร ลูกปูก็เดินคดอย่างนั้น ฉะนั้น การที่ประเทศไทยจะเดินไปข้างหน้าได้ก็ต้องเริ่มพัฒนาที่ “คน” มุ่งไปเรื่องการศึกษา จัดแถวใหม่ 5 ปี บวก 5 ปี เริ่มจากเด็กอายุ 5 ขวบ ไม่เกิน 15 ปี นำเยาวชนเข้าโรงเรียนใหม่ สอนหลักสูตรใหม่ หรือเข้าค่าย อบรมศีลธรรม ศาสนา และการเมือง ทำให้เป็นวาระแห่งชาติ
“ผู้แทนราษฎร แม่มันคือราษฎร ราษฎรเงินไม่มากาไม่เป็น พอผู้แทนเป็นก็ต้องหาเงินมาให้เขากา ฉะนั้นเราจะโทษใคร ก็ต้องโทษราษฎร ซึ่งก็ต้องมาเริ่มพัฒนาคนเน้นเรื่องการศึกษา”
ส่วนรศ.ดร.โคทม อารียา ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาและการพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า เรื่องที่ทะเลาะกันมา 79 ปี และยังไม่ลงตัว หาจุดพอดียังไม่เจอ อีกทั้งการเมืองไทยกระโดกกระเดก ไม่ลงตัว นั้น มาจากปัจจัยทั้งทางด้านเรื่องเศรษฐกิจเหลื่อมล้ำ สังคม ความคิดแข็งกระด้าง โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ ที่ชอบเปลี่ยนใจ 2 จิต 2 ใจ ประเภท มี 2 ชุดความคิดในสมองตัวเองเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา
“เรามีประชาธิปไตยแบบตัวแทน ซึ่งก็ยังไม่พอ พอเราพูดถึงประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม บ้างก็เอาไปใช้แบบสุดขั้วสุดโต่ง ดังนั้นอาจต้องมีประชาธิปไตยแบบถกแถลง แบบที่เราต้องมีพื้นที่พูดคุยกัน และยอมรับความแตกต่างหลากหลายทางความคิดความเชื่อ ตราบใดยังอยู่ในครรลองของการไม่ใช้ความรุนแรง และยังดำรงสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่”
กรณีมีกระแสข่าวการปฏิวัติ ท่ามกลางการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้น รศ.ดร.โคทม กล่าวว่า คนที่คิดเช่นนี้ มี และกำลังทดสอบปฏิกิริยา โดยเฉพาะสื่อไม่ควรมีปฏิกิริยาเกินกว่าเหตุ เกี่ยวกับรัฐประหาร เพราะขณะนี้มีทั้งลูกคู่ ตัวช่วย ตัวป่วน เช่น ตัวป่วนบอกว่า การเลือกตั้งไม่ใช่คำตอบ เลือกตั้งแล้วก็ทะเลาะกันอีก เป็นต้น และพอมีการเลือกตั้งน่าจะเป็นคำตอบได้ในระดับหนึ่ง ตัวป่วนก็ออกโรง โดยใช้สื่อเป็นแนวร่วมโดยสื่ออาจไม่รู้ตัว ทำให้คนไทยขาดความมั่นใจการเลือกตั้งกลัวว่าจะไม่สุจริต
รศ.ดร.โคทม กล่าวถึงหน้าที่ของคนไทยขณะนี้ คือ ทำให้ประชาธิปไตยชอบธรรม ทำให้การเลือกตั้งเที่ยงธรรม ให้มีการแข่งขันอย่างยุติธรรม มีกติกา และมีจรรยาบรรณ พร้อมกับเชื่อมั่นว่า พฤติกรรมคนเปลี่ยนได้ ไม่ได้มีเสียงไว้เพื่อขายอย่างเดียว
สุดท้ายรศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ กล่าวว่า โลกขณะนี้มีแนวโน้มเข้าหาระบบการเมืองที่เปิดกว้าง อย่างน้อยให้ประชาชนได้มีส่วน ดังนั้นหากประเทศไทยไม่มีการเลือกตั้ง ก็จะเป็นแบบตะวันออกกลาง
“ระบบการเลือกตั้ง คือเครื่องมือการบริหารระบบประชาธิปไตย เชื่อว่า สามารถพัฒนาได้ ถ้ามีการพัฒนาระบบเลือกตั้ง โดยเฉพาะการสร้างเสริมจิตสำนึกของประชาชน ปัจจุบันเกิดการชะงักงันของการพัฒนาคุณภาพของประชาชนเอง ฉะนั้น เมื่อคุณภาพประชาชนมีปัญหา คุณภาพการเมืองก็เป็นแบบที่เห็นอยู่ ทำอย่างไรจะมีการปลดเงื่อนปมตรงนี้ มีวิจารณญาณการใช้สิทธิของตนเองทุกครั้งที่หย่อนบัตรเลือกตั้ง”
รศ.ดร.สมภพ กล่าวด้วยว่า หากไม่มีการเลือกตั้งจะเกิดผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจแน่นอน ภายใต้เกมกติกาโลกที่กำลังกระหน่ำซ้ำเติมเราไม่ว่าด้านสังคม การเมือง