- Home
- Thaireform
- ข่าวเด่น นโยบายสาธารณะ
- นักวิจารณ์ คนทำหนัง ห่วงหนังไทยยุคหลัง หาภาพสะท้อนสังคมยาก
นักวิจารณ์ คนทำหนัง ห่วงหนังไทยยุคหลัง หาภาพสะท้อนสังคมยาก
นักวิจารณ์ คนทำหนัง เห็นพ้องหนังไทยยุคนี้เพิกเฉยความรับผิดชอบต่อสังคม เปรียบเหมือนยา ที่กินไปแล้วสร้างแต่ความเพ้อฝัน อยู่ในโลกของมายาคติ
วันที่ 13 กรกฎาคม ที่หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับมูลนิธิเพื่อนชนเผ่า โครงการนิติธรรมสิ่งแวดล้อม และภาคีเครือข่าย โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนกรสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดงานเทศกาลศิลปะเพื่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน 13 ปีคลิตี้ : ชีวิต สายน้ำ โดยมี "ประวิทย์ แต่งอักษร" นักวิจารณ์ภาพยนตร์ "พิมพกา โตวิระ" ผู้ผลิตภาพยนตร์ ร่วมเสวนาหัวข้อเรื่อง “สื่อภาพยนตร์ กับการทำหน้าที่ของสังคม”
นายประวิทย์ กล่าวถึงบทบาทของภาพยนตร์ต่อสังคมว่า ภาพยนตร์กับสังคมเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ได้ มีความสัมพันธ์ต่อกัน แต่ปัจจุบันภาพยนตร์ไทยเพิกเฉยต่อบทบาทความรับผิดชอบต่อสังคมมาก โดยเฉพาะลองมองย้อนกลับไปดูภาพยนตร์ไทยในระยะ 4-5 ปีที่ผ่านมา แทบจะหาหนังไทยที่แสดงความรับผิดชอบ หรือจุดประเด็นอะไรบางอย่างของสังคมให้คนดูได้รับรู้หรือตระหนัก ได้น้อยมาก
“หนังไทย เป็นเหมือนยาเม็ดที่กินแล้วนำไปสู่โลกของความเพ้อฝัน โลกของมายาคติ โลกของความหลอกลวง โลกของการเสนอความคิดอะไรบางอย่างที่ไม่ได้สะท้อนความเป็นจริง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก และเป็นแบบนี้มาตลอด” นักวิจารณ์ภาพยนตร์ กล่าว และว่า น่าเสียดายที่หนังไทยในกระแสหลัก ก็หันหลังให้กับโอกาสที่จะใช้ประโยชน์จากการสะท้อนความเป็นจริงต่อสังคม
นายประวิทย์ กล่าวด้วยว่า สำหรับเรื่องปลีกย่อยในสังคมยังมีอีกมาก คนดูอยากที่จะดูภาพยนตร์ไม่ว่าจะเป็นประเภทใด ที่จะสามารถพาให้ไปเรียนรู้วิถีชีวิตต่างๆ และทำให้คนดูเชื่อว่า เป็นความตรงไปตรงมา จริงใจ ไม่ใช่เอาวิธีคิดแบบชนชั้นกลาง หรือวิธีคิดแบบสำเร็จรูปไม่ครอบใส่ตัวละคร ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นช่องทางที่ภาพยนตร์สามารถทำได้
ขณะที่ "พิมพกา" กล่าวว่า เมื่อกล่าวถึงปัญหาสังคม หรือภาพสะท้อนสังคม หลายคนอาจคิดถึงภาพยนตร์ที่ใกล้เคียงกับข่าว หรือสารคดี ซึ่งจริงๆแล้วมีวิธีการหลายอย่างที่จะนำเสนอ หรือสะท้อนสังคมออกมาได้ แต่เป็นเพราะสื่อไม่กระจายไปอยู่ในมือของคนในหลายระดับ
“สื่อที่มีอยู่ควรจะกระจายไปอยู่ในมือของคนอื่นๆด้วย เช่น ลูกชาวนา ลูกชาวสวน ลูกชาวไร่ ไม่ควรจะเป็นแค่คนทำหนังที่อยู่เฉพาะในเมือง หรือในกรุงเทพฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจเป็นต้นเหตุให้ภาพยนตร์ไทยในปัจจุบัน ไม่ค่อยจะสะท้อนในเรื่องของสังคม ถ้าสื่อสามารถไปอยู่ในมือของคนหลายระดับได้ ต่อไปหนังเหล่านี้จะช่วยสร้างภูมิต้านทานของคนดูได้ และจะเริ่มขยายไปเรื่อยๆ“
ผู้ผลิตภาพยนตร์ กล่าวเปรียบเทียบประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ที่ไม่มีโอกาสได้ฉายหนังได้อย่างเปิดเผยว่า คนทำหนังในบ้านเราก็ควรมีแรงบันดาลใจ มีแรงมุ่งมั่นพอที่จะถ่ายทอดเรื่องราวของสังคมหรือแม้กระทั่งเรื่องของตัวเรา ซึ่งถือว่าเป็นคนหนึ่งในสังคมที่ได้ถ่ายทอดเรื่องราวในสังคมของตนออกมา โดยสิ่งเหล่านี้เป็นสปิริตบางอย่างของการทำหนัง แต่เราเห็นน้อยมากในการทำหนังในปัจจุบัน
“การทำหนังไม่ใช่เพียงแต่ให้ได้รับความสนุก มีความสุขในการถ่ายทำ แต่ต้องสื่อสารในเรื่องที่อยากจะพูด และมีประโยชน์ เพื่อให้คนดูได้รับสาระและนำไปคิดต่อ ซึ่งหากจะให้ดีกว่านั้นคือ ทำหนังให้มีพลังชักจูงให้คนสนใจปัญหาที่เราต้องการสื่อสาร”