- Home
- Thaireform
- ข่าวเด่น นโยบายสาธารณะ
- “พิรงรอง” ชี้การเมืองแบบสืบทอดอำนาจ ทำเสรีภาพสื่อสั่นคลอน
“พิรงรอง” ชี้การเมืองแบบสืบทอดอำนาจ ทำเสรีภาพสื่อสั่นคลอน
เวทีอนาคตกรรมกร (นัก) ข่าวไทยฯ อ.นิเทศฯ จุฬา มองยุคนี้การเมืองสืบทอดอำนาจ กระทบเสรีภาพสื่อ “สุนันท์” วิเคราะห์หมดยุคสื่อปากกัดตีนถีบ หลายค่ายเลือกไม่เผชิญหน้านายทุน-พรรคการเมือง ส่วนนักวิชาการ แนะตั้ังสหภาพนักข่าว รักษาสิทธิตนเอง
วันที่ 17 สิงหาคม สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับ คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค จัดสัมมนาเรื่อง “อนาคตกรรมกร (นัก) ข่าวไทยในยุคเปลี่ยนผ่านการเมือง ทุนและเทคโนโลยี” ณ ห้องกมลนาถ ชั้น 6 รร.สยามซิตี้ โดยมีผศ.ดร.พิรงรอง รามสูต คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ นายสุนันท์ ศรีจันทรา สื่อมวลชนอิสระอาวุโส นายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ บก.ข่าวความมั่นคง TPBS นายศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุธยา นักวิชาการด้านแรงงาน ร่วมเสวนา
ผศ.ดร.พิรงรอง กล่าวว่า หากเปรียบเทียบกรรมกร กับนักข่าวแล้วมีความคล้ายคลึงกัน เช่น เป็นผู้ใช้แรงงาน มีค่าแรงต่ำและมีสวัสดิภาพค่อนข้างต่ำ ผนวกกับปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองบ้านเราเปลี่ยนจาก 2 นคราประชาธิปไตยไปสู่การเมืองแบบสืบทอดอำนาจ มีการสืบทอดอำนาจทางการเมือง ยิ่งมีการสถาปนาอำนาจมากเท่าไหร่ พรรคการเมืองก็จะสามารถสร้างความมั่นคงได้มากเท่านั้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเสรีภาพสื่อ และทำให้วงการสื่อสั่นคลอนไปด้วยการใช้ “ลัทธิเอาตัวรอด” และ “การไม่เผชิญหน้า”
ขณะที่นายสุนันท์ กล่าวว่า ตลอดการทำงานกว่า 35 ปี พบว่าพัฒนาการวงการสื่อเสื่อมลงมาก ไม่สามารถทำได้อย่างที่ประชาชนคาดหวัง โดยเฉพาะนักข่าวมีทัศนคติเรื่องการอยู่ต่างค่าย มีการเล่นพรรคเล่นพวก นับเป็น “เรื่องน้ำเน่า” สำหรับวงการสื่อที่นำมาสู่ทัศนคติที่ไม่ดีต่อวงการสื่อด้วยกัน และส่งผลให้วงการสื่อมีความไร้สาระอยู่มา กขณะที่การฝักใฝ่ในพรรคการเมือง ก็เป็นอีกประเด็นที่สื่อสมัยนี้ต่างจากสมัยก่อน สื่อสมัยก่อนหากพบว่าฝักใฝ่ในพรรคการเมืองจะมีการต่อต้าน ร้อนตัว
นายสุนันท์ กล่าวถึงแนวคิดของสื่อแต่ละค่ายด้วยว่า เป็นไปตามผลประโยชน์ ไม่ได้ยึดอุดมการณ์วิชาชีพเป็นที่ตั้ง ทุกวันนี้สื่อไม่ได้อยู่ใน “ภาวะปากกัดตีนถีบ” เหมือนในอดีตแล้ว ซึ่งเมื่อมีความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์สื่อหลายค่ายจึงเลือกที่จะไม่เผชิญหน้ากับนายทุนหรือพรรคการเมือง เลือกไม่นำเสนอและไม่ทำความจริงให้ปรากฏ หลายครั้งเป็นการเสนอข่าวตามนักการเมือง ไม่ค้นหาข้อเท็จจริง เลือกทำงานเพื่อความอยู่รอดเป็นที่ตั้ง และบางครั้งสื่อร่วมมือกับพรรคการเมืองเอาเปรียบประชาชน หากสื่อยังไม่สามารถแหวกป้อมปราการนี้ออกไปได้ประชาชนก็จะไม่มีที่พึ่งต่อไป อย่างเช่นในทุกวันนี้
ด้านนายเสริมสุข กล่าวว่า ในยุครัฐบาลทักษิณ เรียกได้ว่า เป็นยุคที่มีแรงกระแทกอย่างมากสำหรับสื่อ พบว่า มีนักข่าวได้รับผลจากแรงกระแทกนั้นจำนวนมาก และเป็นยุคที่ไม่มีการพูดถึงหรือให้ความสำคัญในเสรีภาพสื่อต่างจากรัฐบาลสมัยอื่นๆ เช่นเดียวกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในปัจจุบัน ที่เพิ่งเข้ามาทำงานสื่อก็ได้รับแรงกระแทกให้เห็นแล้ว เพราะสื่อยุคนี้ไม่ต้องปากกัดตีนถีบ เจ้าของสื่อก็คิดว่า การเลือกไม่เผชิญหน้ากับนายทุนหรือพรรคการเมืองเป็นสิ่งที่ว่าควรทำ
ส่วนนายศักดินา กล่าวว่า การมีรัฐบาลเสียงข้างมาก เราต้องนึกถึงบทเรียนในปี 2548-2549 ที่หากสื่อไม่มีความเข้มแข็งมากพอก็จะถูกพรรคการเมืองเข้ามาควบคุมและแทรกแซง ก่อนอื่นคนข่าวต้องถามตัวเองว่า ยินดีเป็นกรรมกรหรือไม่ เพราะหากยอมรับต้องทำความเข้าใจว่า สิ่งที่กรรมกรหรือลูกจ้างต้องการคือการอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี มีความเท่าเทียมในสังคม ดังนั้น สิ่งที่สื่อควรเรียกร้อง คือ สิทธิการรวมตัวและต่อรองกับเจ้าของสื่อ เพราะคนเดียวหรือคนกลุ่มน้อยๆ ไม่สามารถต่อรองได้
“หากสื่อมีสิทธิการรวมตัวและต่อรอง โดยการตั้งเป็น “สหภาพนักข่าว” เพื่อให้สามารถต่อรองกับเจ้าของสื่อได้ และรักษาสิทธิเสรีภาพของตนเองได้ เพราะในสมัยนี้ที่รัฐบาลมีเสียงข้างมากและมีความเข้มแข็งเต็มที่ สื่อจะเป็นเป้าหมายสำคัญที่อาจโดนเพ็งเล็งได้ง่ายที่สุด จึงควรมีการรวมกลุ่ม รวมตัวที่เข้มแข็งรักษาสิทธิตนเอง”