- Home
- Thaireform
- สัมภาษณ์ - ปาฐกถา
- การเมือง
- "สุรนันทน์ เวชชาชีวะ" "ปรองดองลดความเสี่ยงการเมือง-แก้เศรษฐกิจ"
"สุรนันทน์ เวชชาชีวะ" "ปรองดองลดความเสี่ยงการเมือง-แก้เศรษฐกิจ"
นับถอยหลังอีก 2 เดือน ที่ ”รัฐบาลยิ่งลักษณ์” จะบริหารประเทศครบ 1 ปีเต็ม และกำลังจะก้าวเข้าสู่ปีที่ 2 ซึ่งปีแรกที่ผ่านมาตามที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยกำหนดนโยบายเป็น 2 ระยะ คือ ระยะเร่งด่วนที่ดำเนินการในปีแรก และระยะการบริหารราชการ 4 ปี แต่ดูเหมือนว่านโยบายระยะเร่งด่วนของรัฐบาลอาจไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เพราะต้องเผชิญกับวิกฤตมหาอุทกภัย ที่เป็นปัญหาใหญ่โต ยาวมาจนกระทั่งปัจจุบัน อีกทั้งปัญหาเรื่องปากท้องของประชาชนที่มีรายจ่ายสูงขึ้น รวมถึงกำลังเผชิญปัญหาความผันผวนเศรษฐกิจในยุโรป ปัญหาเหล่านี้ถือว่าเป็นศึกหนัก แต่คงไม่หนักเท่ากับช่วงหลังมานี้กับปัญหาทางการเมือง โดยเฉพาะการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการผลักดัน ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ปรองดองแห่งชาติ
ทีมงาน “ศูนย์ข่าวสารนโยบายสาธารณะ” พูดคุยกับ สุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ถึงแนวทางการบริหารประเทศด้วยนโยบายเชิงรุกในช่วงระยะที่ 2 และเกมการเมืองระหว่างรัฐบาลและฝ่ายค้าน เพื่อขับเคลื่อนการปรองดองสู่การบริหารประเทศ โดยเขาระบุตอนหนึ่งว่า “สิ่งที่นายกฯ เดินสายปรองดอง ต้องการให้เข้าใจว่าเศรษฐกิจจะพัฒนาได้ ประเทศชาติจะเดินต่อไปได้ซึ่งต้องมีความเสี่ยงทางการเมืองที่ต่ำ”
เดือนสิงหาคม รัฐบาลจะมีอายุครบ 1 ปี ได้วางแผนนโยบายเชิงรุกช่วงระยะที่ 2 ไว้อย่างไร
ปีแรกของรัฐบาลคือปีแห่งการสร้างความเชื่อมั่น ส่วนปีต่อไปคือปีแห่งการขยายเรื่องต่าง ๆ แผนรัฐบาลมีสองส่วนคือ ก่อนเดือนสิงหาคมจะมีการประเมินนโยบายต่าง ๆที่แถลงต่อรัฐสภาว่าทำไปแล้วถึงไหน มีอะไรที่จะต้องทำต่อ และในช่วงเดือนสิงหาคม เราต้องรายงานต่อประชาชน ว่านโยบายอะไรที่ทำมาแล้วได้ผลแค่ไหน และจะทำอะไรต่อไป และช่วงที่สองคือ นอกจากนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภาแล้ว ทันทีที่รัฐบาลเข้ารับหน้าที่ก็เจอวิกฤตอุทกภัย เพราะฉะนั้นจะเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ต้องรายงานต่อประชาชนว่าวิกฤตมหาอุทกภัยครั้งนั้น เราแก้ไขอะไรไปแล้วบ้างและมีกระบวนการป้องกันอย่างไร ซึ่งวันนี้เราก็ได้ทำอย่างต่อเนื่อง
เวลานี้รัฐบาลกำลังจะเผชิญกับเรื่องของวิกฤตเศรษฐกิจความผันผวนในยุโรป ซึ่งตอนนี้อาจยังมาไม่ถึง แต่เราต้องประเมินอย่างต่อเนื่อง เพื่อกำหนดมาตรการที่ชัดเจนเพื่อเตรียมพร้อม และสิ่งต่อไปในปีหน้าที่เราจะทำจะต้องเป็นเชิงรุกมากในหลาย ๆ เรื่อง โดยจะต้องมองในระยะยาวมากขึ้น เพราะว่าที่รัฐบาลเข้ามาเพื่อแก้ไขปัญหาที่ผ่านมาในอดีต และสร้างความเชื่อมั่น เพื่อให้ประชาชนและนักธุรกิจมีความเชื่อมั่นในรัฐบาลว่าระบบสามารถเดินได้ อยู่ได้ สามารถทำงานได้ ตรงนี้ผมคิดว่าจะเป็นพื้นฐานที่ดีในการทำงานเชิงรุกต่อไป
ลักษณะการทำงานเชิงรุกของรัฐบาลได้วางแผนไว้อย่างไร
การทำงานเชิงรุกจะมีสองส่วนคือ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ที่จะทำอย่างไรจะต้องสร้างภูมิคุ้มกัน ความแข็งแกร่งให้พื้นฐานเศรษฐกิจประเทศ อันนี้ผมว่าเป็นเรื่องสำคัญซึ่งจะไม่พ้นนโยบายที่ต้องทำต่อเนื่องเพราะหลาย ๆ นโยบาย เป็นนโยบายที่เข้าถึงรากหญ้า โดยเปิดโอกาสให้รากหญ้าสร้างความเข้มแข็ง ขณะเดียวกันเรามองไปยังการลงทุนขนาดใหญ่ที่จะเข้ามาขับเคลื่อนประเทศ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟรางคู่ รถไฟด่วน การเร่งรัดสร้างรถไฟฟ้า ขยายเพิ่มเส้นทางรถไฟฟ้า รถใต้ดิน การเพิ่มการลงทุนในโครงข่ายพื้นฐานประเทศ รวมไปถึงเรื่องการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบด้วย เพื่อให้น้ำมีใช้ในยามแล้ง และสามารถระบายออกได้ในยามฝนตก รวมถึงการลงทุนนิคมอุตสาหกรรม การลงทุนในโครงข่ายพื้นฐาน การขยายท่าเรือ ซึ่งตรงนี้จะเป็นการสร้างโอกาสใหม่ ๆ และการลงทุนตรงนี้จะทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง สร้างงานให้คนมีงานทำ มีรายได้ โดยเรื่องเหล่านี้จะไม่ทำจบในปีหนึ่ง ต้องมองไปเพื่อการลงทุนที่ยาวขึ้น
นโยบายประชานิยม ถือเป็นตัวหลักของรัฐบาลจะเดินหน้าต่ออย่างไร
สิ่งที่รัฐบาลแถลงไว้ต่อสภาและสัญญาไว้กับประชาชนในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ผมว่าต้องเดินหน้าต่อทุกนโยบายและบางเรื่องจะต้องปรับปรุงให้ดีขึ้น เช่น เราพูดถึงเรื่อง 30 บาท เราก็นำมาปรับปรุงว่า แพทย์ฉุกเฉินรักษาเท่าเทียมกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นการปรับปรุงรักษาคุณภาพ บางเรื่องถ้ายังไม่ทั่วถึงจะทำอย่างไรให้ทั่วถึงขึ้น และกลไกต่าง ๆ จะเป็นกลไกเดิม เช่น ลกองทุนหมู่บ้าน ทำอย่างไรประชาชนจะใช้เงินก้อนนั้นอย่างมีประสิทธิภาพ หรือว่าเอสเอ็มแอลที่ลงใหม่ ประชาชนจะต้องขับเคลื่อนใหม่ ในการตัดสินใจว่าจะใช้เงินอย่างไรให้เป็นประโยชน์กับประชาชนสูงสุด ของพวกนี้ไม่ใช่ว่ามีวันเกิดหรือวันหมด แต่ถ้าสามารถทำได้อย่างต่อเนื่องจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจไปข้างหน้าได้
เกือบ 1 ปี ที่ผ่านมามีอะไรที่น่าพอใจ และมีอะไรที่ต้องปรับปรุง
หลายเรื่องเป็นเรื่องที่ประสบความสำเร็จ เพราะความต่อเนื่องของรัฐบาลทำให้สิ่งที่เราสัญญากับประชาชนไว้ทำได้จริง ไม่ต้องชี้ว่าเป็นนโยบายไหน แต่มันทำได้ และสภาวการณ์แก้ปัญหาเชิงวิกฤตก็เป็นผลงานอีกชิ้นหนึ่ง ส่วนเรื่องอื่น ๆ ต้องประเมินกันรายโครงการ แต่แน่นอนบางเรื่องที่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรต้องมาปรับแก้ เพื่อให้เดินต่อไปได้
ในฐานะที่เคยร่วมทำงานกับ อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ระหว่างคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีภาวะความเป็นผู้นำต่างกันอย่างไร
ผมคงไม่เปรียบเทียบใครกับใครดีกว่า แต่วันนี้สิ่งที่เป็นจุดแข็งของนายกฯยิ่งลักษณ์ หลังจากที่ผมได้ทำงานร่วมกันมา 7 - 8 เดือน ตั้งแต่ก่อนที่จะได้รับตำแหน่ง ผมคิดว่านายกฯมี่ความอดทนสูง ซึ่งเป็นบุคลิกที่ดีของภาวะผู้นำ และเป็นผู้ฟังที่ดีเวลานั่งหัวโต๊ะโดยจะฟังว่าข้าราชาการจะพูดอะไร ความคิดเห็นหลากหลายมีอะไร แต่สิ่งที่สำคัญมากว่าตรงนี้คือการกล้าตัดสินใจ ตรงนี้ผมคิดว่าท่านคงมีมานานแล้วตั้งแต่ระหว่างที่ท่านเคยบริหารธุรกิจอยู่ ซึ่งก่อนหน้านี้หลายคนตั้งคำถามว่า จะบริหารราชการได้หรือเพราะไม่เคยบริหารราชการมาก่อน จะมานั่งหัวโต๊ะ หรือจะเป็นผู้นำได้หรือไม่แต่วันนี้นายกฯยิ่งลักษณ์ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่า เมื่อท่านนั่งหัวโต๊ะก็สามารถวิเคราะห์และตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง และสามารถขับเคลื่อนระบบราชการให้ไปในทิศทางที่ถูกและทิศทางที่ตัวเองให้นโยบายไว้ ซึ่งแน่นอนการขับเคลื่อนองคาพยพของราชการบางทีก็ไม่ได้ 100% ในระดับปฏิบัติบางทีต้องมีสิ่งที่ต้องแก้ไข ต้องจูนเครื่องอยู่ตลอดเวลา และนายกฯยิ่งลักษณ์เป็นคนที่ละเอียด อาจจะด้วยเพราะความเป็นผู้หญิง หรือด้วยความเป็นผู้บริหารธุรกิจก็ตาม
วันนี้ท่านได้ลงไปจูนเครื่องต่าง ๆ ให้ลงไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งตรงนี้ต้องขอเวลาและโอกาสให้นายกฯด้วย เพราะ 1 ปีที่ผ่านมาก็เกิดวิกฤตใหญ่และตอนนี้ก็กำลังเผชิญกับภาวะความผันผวนเศรษฐกิจโลก แต่ผมเชื่อว่าในฐานะที่เป็นผู้นำประเทศต่อไปได้ นายกฯยิ่งลักษณ์ จะเป็นผู้นำประเทศไปได้ครบสมัยคือ 4 ปี ส่วนจะมาอีกสมัยหรือไม่อยู่ที่ประชาชน
ถ้าจะให้ภาวะผู้นำของนายกฯยิ่งลักษณ์ อยู่ในเกรดเอบวกจะต้องเสริมจุดแข็งอะไรเข้าไปเพิ่มเติมหรือไม่
ผมคิดว่าวันนี้ไม่ใช่การเสริมที่ตัวท่านเอง แต่เป็นเรื่องของการทำให้คนเข้าใจในตัวตนของนายกฯยิ่งลักษณ์ และในนโยบาย เพราะว่าด้วยความที่นายกฯยิ่งลักษณ์ ไม่เคยอยู่ในวงราชการมาก่อน ก็อาจจะไม่รู้จักตัวตน แต่ถ้าได้สัมผัสตัวตนได้รู้จักและได้เข้าใจ การขับเคลื่อนงานก็จะดีขึ้น แต่ถ้าหลายหน่วยงานได้เข้าถึงและเห็นความตั้งใจก็จะเป็นประโยชน์ อีกส่วนคือในระดับนโยบายเราพูดได้ แต่เมื่อลงไปปฏิบัติจริง ๆ บางองค์กร บางหน่วยงาน มีประโยชน์ มีโครงการ มีแผนงานที่เคยทำ อาจจะมีความเห็นไม่ตรงกันว่าจะขับเคลื่อนไปอย่างไร นโยบายอาจเป็นนโยบายที่ดี แต่เมื่อลงปฏิบัติก็ต้องบริหารจัดการตรงนั้น ซึ่งผมคิดว่าน่าจะทำได้ ถ้านายกฯยิ่งลักษณ์สามารถลงไปปฏิบัติให้ตรงนั้นได้ ผมคิดว่าน่าจะเป็นบวกให้กับนายกฯเอง
คณะทำงานที่ร่วมบริหารประเทศขณะนี้มีจุดแข็งดีพอหรือยัง
ผมว่ามันคงไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบ เชื่อว่าท่านนายกฯเองในความที่เป็นนักบริหาร ผมเห็นหลายครั้งว่าท่านจะดูคนอย่างละเอียดและให้พิสูจน์ตัวเอง ให้โอกาสทำงาน เมื่อถึงจุดหนึ่งเห็นว่าทำงานได้ทำงานถูกใจ อาจจะให้ทำงานต่อ หรืออาจให้ไปทำงานอย่างอื่นแล้วแต่ท่านแต่ตรงนี้ยังไม่มีใคร 100% แต่ผมคิดว่าทีมงานเองก็ยังมีจุดที่ปรับปรุงได้ อาจจะไม่ใช่การปรับปรุงที่ว่าจะต้องย้ายคนไปตรงนั้น ตรงนี้ แต่อาจจะปรับปรุงในเรื่องของการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
รัฐบาลจะต้องเสริมทัพอะไรอีกหรือไม่
การปรับเปลี่ยนบุคคลถือเป็นเรื่องปกติ แต่อาจจะไม่จำเป็นต้องปรับคณะรัฐมนตรี ถ้าคนทำงานทำไปได้ก็ต้องให้โอกาส ทำไม่ได้ก็ต้องปรับเป็นเรื่องบริหารปกติ อย่าไปคิดว่าการปรับครม.ทุกอย่างต้องสั่นสะเทือน ทุกอย่างเป็นหัวโขน
นโยบายเรื่องของความปรองดองที่นายกฯยิ่งลักษณ์พยายามสร้างขึ้น คิดว่าประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน
นโยบายปรองดองเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญที่ต้องทำควบคู่กับเศรษฐกิจเพราะว่า ความผันผวน ความไม่มั่นคงหรือความไม่มั่นใจ เพราะการเมืองไม่นิ่ง เมื่อมีความเสี่ยงทางการเมืองสูง การที่คนจะมั่นใจว่าจะลงทุนและอยู่ได้ยาวก็ไม่มี เพราะฉะนั้นสิ่งที่นายกฯเดินสายปรองดอง ต้องการให้เข้าใจว่าเศรษฐกิจจะพัฒนาได้ ประเทศชาติจะเดินต่อไปได้ต้องมีความเสี่ยงทางการเมืองที่ต่ำ แต่ความเสี่ยงทางการเมืองที่ต่ำไม่ได้หมายความไม่มีความขัดแย้งเลย แต่ความขัดแย้งต้องอยู่ในกติการะบบประชาธิปไตยที่เป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลก มีรัฐสภา บางประเทศที่เป็นประชาธิปไตยอย่างสหรัฐอเมริกา หรือญี่ปุ่น ในสภาอาจะตกลงอะไรกันไม่ได้มากเพราะถกเถียงกันอยู่ แต่คนบอกว่ายังอยู่ในกติกา ระบบเศรษฐกิจก็เดิน
อะไรคือปัจจัยที่ทำให้รัฐบาลประเมินว่าความเสี่ยงทางการเมืองลดลง
ผมว่าการที่รัฐบาลพูดเรื่องการปรองดองตั้งแต่วันแรก เพื่อลดความเสี่ยงทางการเมือง และการที่รัฐบาลอยู่มาได้เกือบ 1 ปีในอีก 2เดือนข้างหน้า เชื่อมั่นว่าทำให้ความเสี่ยงทางการเมืองลดลงไป การตอบสนองของนักลงทุนต่างประเทศ หรือในประเทศเองก็มีความเชื่อมั่นมากขึ้น สิ่งที่เรามองหรือสิ่งที่ทุกคนเห็นเหมือนกันคือ ถ้าการเมืองขัดแย้งถึงขั้นต้องลงท้องถนนอีกครั้ง ก็ไม่อยากให้ใครไปถึงจุดนั้น เพราะฉะนั้นการที่ต้องช่วยประคองกันไปบนพื้นฐานความแตกต่างและความขัดแย้งที่สูงก็ไม่ความจำเป็น
ตรงนี้ผมต้องการเรียกร้องไปทางฝ่ายค้านด้วยเพราะว่า รัฐบาลพยายามเต็มที่ แต่ถ้าฝ่ายค้านยังมีท่าทีขัดแย้งสูงอย่างนี้และไม่เคารพกติกาการใช้เวทีของสภาให้เป็นเวทีที่มาถกอย่างศิวิไลซ์ก็จะทำให้ประชาชนไม่เชื่อมั่น แต่ถ้ามาใช้กิริยามารยาทไม่ดี การมากระชากเก้าอี้ประธานสภา หรือการจะมาบอกว่าจะไม่ยอมรับในระบบรัฐสภา และจะพาม็อบบุกเข้ามาใยสภาได้ ผมคิดว่าความเสี่ยงทางการเมืองวันนี้ถ้าเกิดอะไรขึ้น หรือความเสี่ยงทางการเมืองที่สูงขึ้น ฝ่ายค้านจะต้องเป็นผู้ที่รับผิดชอบ
คำว่า “ความเสี่ยงทางการเมือง” ที่ฝ่ายค้านสร้างขึ้นมีรูปแบบอย่างไร
คือการไม่ยอมรับ หรือไม่ยอมทำตามกติกาทางประชาธิปไตยของทางพรรคฝ่ายค้านและบางกลุ่มที่ยังมีความแค้นส่วนตัวในบางเรื่อง
ผลตอบแทนของการปรองดอง ที่นายกฯยิ่งลักษณ์ ต้องการคืออะไร
การที่นายกฯพูดถึงเรื่องการปรองดองคือต้องการลดความเสี่ยงทางการเมือง เมื่อลดความเสี่ยงการเมืองได้ นักลงทุนประเมินก็จะเหลือเพียงความเสี่ยงทางเศรษฐกิจปกติ ที่เขาต้องดำเนินไป ที่เกิดการลงทุนและเกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ
รัฐบาลอยากเห็นกระบวนการปรองดองรูปแบบใด
ที่รัฐบาลอยากเห็นอย่างน้อยที่สุดคือฝ่ายค้านน่าจะใจกว้าง รับฟังเหตุผล ถกเถียงกันด้วยเหตุผล จะยาวเท่าไหร่ก็ให้เป็นไปตามธารรมชาติ เราไม่ได้บีบเวลา แต่เมื่อเรายื่นเข้าไปหลายเรื่องฝ่ายค้านต่างหากที่บีบเข้ามาบอกว่าไม่ได้ หรือมีม็อบมวลชนบางกลุ่มที่อาจจะไม่เข้าใจก็บีบเข้ามา หรือคนประเภทที่ตั้งหน้าตั้งตาดูว่ารัฐบาลเสนออะไรเข้ามาก็ผิดหมด แต่ผมคิดว่าน่าจะให้โอกาสรัฐบาลเพราะมีกลไกของมันอยู่ และผมคิดว่านายกฯยิ่งลักษณ์เองไมได้ต้องที่จะเอาชนะ เพียงแต่ว่าวันนี้รัฐบาลยืนอยู่ในหลักการที่ถูก โดยการเริ่มเปิดกระบวนการให้มีการพูดคุยหารือถกเถียงกันเรื่องแนวทางปรองดองว่าจะเป็นอย่างไร แต่ถ้ามัวแต่มายันกันกระบวนการนี้จะไม่เริ่มต้นขึ้น ก็จะกลับมาสะท้อนว่าความเสี่ยงทางการเมืองจะสูงขึ้น และเมื่อมีความผันผวนทางเศรษฐกิจโลกเข้าด้วยแล้ว เราไม่สามารถบริหารจัดการเศรษฐกิจของเราได้เต็มที่เพราะคนไม่มั่นใจในเรื่องการเมือง ก็จะทำให้ประเทศชาติเสียหาย
กังวลว่ารัฐบาลจะสะดุด เพราะเรื่องการเมืองหรือไม่ เพราะในช่วงหลังรัฐบาลเจอกระแสการเมืองเข้าถล่มอย่างมากทั้งเรื่องของการดัน พ.ร.บ.ปรองดอง หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
เรื่องนี้รัฐบาลพร้อมฟัง หรือแม้แต่สมาชิกพรรคเพื่อไทยจะออกมามีความเห็นที่แตกต่างกัน แต่ทุกคนก็พร้อมที่จะฟัง แต่ถามว่าในหลักการที่จะขับเคลื่อนไม่ว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือ พ.ร.บ.ปรองดองนั้น ความตั้งใจของนายกฯไม่ใช่ว่าจะดันเรื่องนี้ให้จบภายในวันสองวัน แต่นายกฯมองว่าเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา มันต้องมีจุดเริ่มต้น ถ้าไม่มีจุดเริ่มต้นจะไม่มีการเริ่มคุยกัน ถ้าเกิดฝ่ายค้านเห็นว่าพ.ร.บ.ปรองดองไม่เหมาะสม มีสิ่งที่ต้องแก้ไข ที่ไม่เห็นด้วยทำไมฝ่ายค้านไม่เสนอกฎหมายมาประกบ ทำไมไม่คิดว่าตัวเองสามารถใช้เวทีในสภา จะโน้มน้าวสาธารณชน จะโน้มน้าวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ถึงแม้จะต่างพรรคก็ตาม ถ้ามีเหตุมีผลผมเชื่อว่ารัฐบาลก็ฟัง เพราะฉะนั้นวันนี้การยื่นกฎหมายพ.ร.บ.ปรองดอง หรือการยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญ มันคือจุดเริ่มต้น และจริงๆแล้วรัฐบาลทำถูกหลักในระบอบประชาธิปไตยมาโดยตลอด คือใช้เวทีสภา การแก้ไขรับธรรมนูญก็เป็นไปตามกติกาที่วางไว้ และไม่ได้ไปบิดเบือนเพื่อใคร และไม่คิดไปล้มล้างระบบไหน
การที่นำเรื่องเข้าสภาอาจจะถูกมองว่าไม่ยึดโยงกับรัฐบาล เพราะตัวนายกฯถูกมองและถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่ให้ความสำคัญกับรัฐสภาเพราะไม่ค่อยเข้าไปร่วมด้วย
ทำไมจะไม่ให้ความสำคัญ......การทำอย่างนี้คือการให้ความสำคัญกับรัฐสภา เพราะว่าอำนาจฝ่ายบริหารนายกรัฐมนตรีมาจากสภาผู้แทนราษฎร และประชาชนก็เป็นคนเลือกเข้ามา นี่จึงเป็นหลักที่ยึดโยงอำนาจที่ชัดเจนอยู่แล้ว วันนี้ถ้ารัฐบาลบอกว่ารัฐบาลจะทำ รัฐบาลอาจจะทำอะไรหลายอย่างได้ด้วยตัวเองแต่รัฐบาลบอกว่าเป็นเรื่องที่ต้องคุยกันในสภา ก็ต้องคุยกันให้จบ ถ้าไม่จบถึงวันเลือกตั้งประชาชนก็ตัดสิน และประชาชนเองก็ตัดสินใจการเลือกตั้งครั้งที่แล้วว่า รัฐบาลต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญเพราะพรรคเพื่อไทยพูดชัดในการหาเสียงว่าต้องมีการแก้ไขรับธรรมนูญ ถ้าเราไม่ทำ ไม่ผลักดัน ในส่วนของพรรค คนก็จะบอกว่าพรรคไม่ทำตามที่สัญญาไว้
การตอบรับจากสังคมและฝ่ายค้านที่ไม่ยอมรับ คัดค้าน ถือว่าทางเดินของกระบวนการที่รัฐบาลวางไว้ถึงทางตันหรือยัง
ไม่ตัน เพราะเรายืนยันว่าต้องผ่านกระบวนการรัฐสภา แต่ถ้ามีคนทักท้วง คิดว่าเวลายังไม่เหมาะสมเราก็รับฟัง แต่ทั้งหมดพวกผมนั่งในฝ่ายบริหารจึงขึ้นอยู่กับว่าในสภาเขาคิดยังไง ส่วน ส.ส.เพื่อไทยที่คิดเห็นแตกต่างก็เป็นเรื่องปกติ เพราะฉะนั้นในระบอบประชาธิปไตย ส.ส.มาจากพรรคการเมือง มาจากการเลือกตั้ง เราก็ต้องเคารพเสียงส.ส.
ถ้าการเดินหน้าปรองดองไม่สามารถเดินต่อไปได้ และส่งผลให้การบริหารประเทศอย่างไร
นั่นไง ถ้าเราไม่ปรองดองแล้วการบริหารประเทศ การบริหารเศรษฐกิจจะเดินไปได้หรือ เราจึงต้องทำให้ถนนปรองดองเลี้ยวไปในทางที่ถูกต้อง ถึงจะช้าแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าสามารถทำให้เกิดการปรองดองอย่างแท้จริงเราก็ต้องทำ เมื่อทุกคนบอกว่าเชื่อระบอบประชาธิปไตย พรรคฝ่ายค้านบอกว่าเป็นประชาธิปไตยแบบระบอบรัฐสภา เราก็เข้าสู่สภาแล้ว
ยังมองว่าการบริหารประเทศกับการเดินหน้าปรองดองต้องเดินไปด้วยกัน
มันไม่ใช่แค่ต้องเดินไปด้วยกัน แต่ต้องทำให้ได้ และไม่ควรที่จะมาคิดว่าใช้เงื่อนไขการปรองดองตรงนี้ไปทำให้ถูกผลักตกจากถนนอีกรอบหนึ่งด้วยการปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งตรงนี้รัฐบาลกำลังพยายามประคอง ไม่ใช่ว่ารัฐบาลกลัวไม่ได้อยู่ในอำนาจ แต่รัฐบาลต้องการให้ระบอบประชาธิปไตยเดินได้ เพราะฉะนั้นจะแพ้ ชนะต้องวัดกันในสภา ในสนามเลือกตั้ง
ถ้ากระบวนการปรองดองไม่สามารถเดินได้ในระบบรัฐสภา จำเป็นหรือไม่ที่ต้องใช้วิธีการนอกรอบหรือระบบใต้ดิน
ทำไมต้องไประบบใต้ดิน เพราะวันประชาชนต้องการความโปร่งใส ยังไม่ทันทำอะไรใต้ดิน ก็ถูกกล่าวหาว่าทำอะไรใต้ดินแล้ว เราก็ถูกกล่าวหาอยู่ดี ถ้าเราทำอะไรใต้ดิน ประชาชนก็จะทักท้วงว่ามีเวทีเปิดทำไม่ใช้ นี่ฮั้วกันเพื่ออำนาจของใครอีกหรือไม่ ซึ่งมันไม่ใช่ เราต้องใช้เวทีสภา
รัฐบาลได้เตรียมทางเลือกไว้บ้างหรือไม่กระบวนการปรองดองที่กำลังทำอยู่ไม่สามารถทำได้
ต้องดูกัน เพราะการเสนอกฎหมายปรองดอง การแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือกระบวนการต่างๆที่รัฐบาลพยายามทำตามที่คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(คอป.) เสนอ มีหลากหลายวิธีการอยู่แล้ว แต่สิ่งที่สะท้อนออกมาเกือบปี คือได้สะท้อนความตั้งใจความต้องการให้เกิดความปรองดอง ประเทศชาติเดินก็หน้าต่อไปได้ ผมคิดว่าตรงนี้ชัดเจน
ทำไมซีกรัฐบาลจึงยังมีความกังวลในเรื่องการปฏิวัติรัฐประหาร ทั้งที่กระแสสังคมตีกลับ
นี่ไง เราถึงได้สงสัยอยู่ เพราะเพื่อไทยไม่ได้เป็นคนทำปฏิวัติ แต่มีคนพูด และเราก็ต้องบอกว่าอย่าทำอย่าคิดเลยดีกว่า แต่เราไปห้ามความคิดเขาไม่ได้ว่าหากไม่พอใจแล้วอยากล้มรัฐบาลด้วยวิธีพิเศษ แต่วันนี้ผมเชื่อมั่นว่าประชาชนไม่ต้องการการรัฐประหาร และเชื่อมั่นว่าเรามาถูกทางในระบอบประชาธิปไตย เมือเรายืนอยู่บนข้างที่ถูกของประวัติศาสตร์เราไม่กลัว ผมว่าคนที่คิดจะทำควรจะกลัวมากว่า