ไม่เคยให้ข้อมูลเท็จหรือผิดจรรยาบรรณ : สตง.โต้รองปลัดคลังฯ ปมชี้มูลคดีท่อก๊าซ
"..หาก บมจ. ปตท. ส่งมอบท่อส่งก๊าซที่อยู่ในทะเลให้กระทรวงการคลัง โดยใช้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการส่งมอบเช่นเดียวกับการส่งมอบท่อส่งก๊าซที่อยู่ในที่ดิน เว้นแต่ในเรื่องจำนวนเงินค่าตอบแทน ท่อส่งก๊าซที่อยู่ในทะเลดังกล่าว ย่อมถือเป็นสินทรัพย์ในงบการเงินของ บมจ. ปตท. ในส่วนของการจ่ายชำระค่าตอบแทนย้อนหลังตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกำหนด ภาระผูกพันดังกล่าวอาจเป็นหนี้สินตามคำนิยาม แต่ไม่เข้าเกณฑ์การรับรู้รายการซึ่งกิจการต้องรับรู้ในงบการเงิน..."
หมายเหตุ สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org : เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ทำสรุปชี้แจงข้อเท็จจริงกรณี นายอำนวย ปรีมนวงศ์ รองปลัดระทรวงการคลัง ได้เปิดแถลงข่าวตอบโต้กรณี คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้มีการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2559 ว่า บมจ. ปตท.คืนท่อก๊าซให้กระทรวงการคลังไม่ครบถ้วน และกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ปฏิบัติตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2550 และรายงานข้อเท็จจริงอันเป็นเท็จ ทำให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ ซึ่งปรากฎชื่อ นายอำนวย ปรีมวงศ์ ถูกกล่าวหาด้วย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมธนารักษ์
(อ่านประกอบ : พฤติกรรมบั่นทอนขวัญกำลังใจ! รองปลัดคลังฯโต้'คตง-สตง.'ชี้มูลคดีท่อก๊าซ ปตท.)
---------------
ความเป็นมา
ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มสารนิเทศการคลัง สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ ๖๖/๒๕๕๙ ลงวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๙ เรื่อง ข้อเท็จจริงกรณี บมจ.ปตท. คืนท่อก๊าซให้กระทรวงการคลังไม่ครบถ้วนและกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ระบุว่า นายอำนวย ปรีมนวงศ์ รองปลัดระทรวงการคลัง ในฐานะเป็นผู้ถูกกล่าวหารายหนึ่ง ได้ชี้แจงว่า
๑. จากมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๐ กระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงาน
ได้มอบหมายให้กรมธนารักษ์ กับ บมจ.ปตท. แบ่งแยกทรัพย์สินให้เป็นไปตามคำพิพากษาและมติครม. กรมธนารักษ์จึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาทำการตรวจสอบและแบ่งแยกทรัพย์สินและเมื่อดำเนินการแล้วเสร็จ คณะกรรมการได้รายงานให้กรมธนารักษ์ทราบและขอความเห็นชอบจากผู้ที่ได้รับมอบหมายจาก ครม. โดยกระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงานได้รายงานให้ ครม. รับทราบ รายงานศาลปกครองเพื่อพิจารณาว่าเป็นไปตามคำพิพากษาหรือไม่ และรายงาน สตง. เพื่อตรวจสอบตามมติ ครม. จึงเป็นแนวทางปฏิบัติราชการปกติทั่วไป ครม. มิได้มีมติให้ สตง. ตรวจสอบและรับรองความถูกต้องก่อน แล้วจึงให้กระทรวงพลังงานและกระทรวงการคลัง รายงาน ครม. หรือศาลปกครองแต่อย่างใด
๒. สตง. เป็นผู้ตรวจสอบและรับรองงบการเงินของ บมจ. ปตท. โดย สตง. รับรองแบบไม่มีเงื่อนไขมาโดยตลอด ทั้งที่ สตง. เองเป็นผู้ทักท้วงมาโดยตลอด บมจ. ปตท.โอนทรัพย์สินไม่ครบ เท่ากับว่า สตง.ให้ข้อมูลอันเป็นเท็จต่อ ตลท. และผู้ถือหุ้นของ บมจ. ปตท. ผิดจรรยาบรรณอย่างร้ายแรงและต้องมีผู้รับผิดชอบ
ข้อเท็จจริง
๑. เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๐ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหลักการการแบ่งแยกทรัพย์สิน อำนาจ และสิทธิของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ที่จะให้เป็นของกระทรวงการคลังตามคำพิพากษา โดยให้กระทรวงพลังงานและกระทรวงการคลังรับไปดำเนินการแบ่งแยกทรัพย์สินและสิทธิตามหลักการดังกล่าว โดยให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้ตรวจสอบและรับรองความถูกต้อง โดยหากมีข้อโต้แย้งทางด้านกฎหมายเกี่ยวกับการตีความตามคำพิพากษาของศาลฯ ในการดำเนินการแบ่งแยกทรัพย์สิน ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นผู้พิจารณาเพื่อให้มีข้อยุติต่อไป และให้กระทรวงการคลังโดยกรมธนารักษ์รับไปดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ในการคิดอัตราค่าเช่าในส่วนของทรัพย์สินที่เป็นระบบท่อ เพื่อเป็นฐานในการคำนวณค่าเช่าให้แก่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
๒. การตรวจสอบของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตามที่ผู้ถูกกล่าวหาอ้างถึง เป็นการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบการเงินแผ่นดิน ๒ ลักษณะที่มีความแตกต่างกัน ได้แก่
๒.๑ การตรวจสอบรับรองความถูกต้องมูลค่าทรัพย์สินที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) แบ่งแยกให้กระทรวงการคลังตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด เป็นการดำเนินการตามมาตรา ๓๙ (๕) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่กำหนดให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินมีอำนาจหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่กฎหมายกำหนด
๒.๒ การตรวจสอบงบการเงินของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นการดำเนินการตามมาตรา ๓๙ (๒) (ก) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่กำหนดให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินมีอำนาจหน้าที่ในกรณีหน่วยรับตรวจเป็นหน่วยรับตรวจที่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณหรือตามกฎหมายอื่น ให้แสดงความเห็นตามมาตรฐานการสอบบัญชีที่รับรองทั่วไป
๓. มาตรฐานการสอบบัญชีที่รับรองทั่วไปในประเทศไทย คือ มาตรฐานการสอบบัญชีที่กำหนด
โดยสภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์ ตามที่ผู้ถูกกล่าวหาใช้ถ้อยคำว่า “สตง. เป็นผู้ตรวจสอบและรับรองงบการเงินของ บมจ. ปตท.” มาตรฐานการสอบบัญชี รหัส ๗๐๐ การแสดงความเห็นและการรายงานต่องบการเงิน กำหนดให้ผู้บริหารเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดทำงบการเงินตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน และรับผิดชอบเกี่ยวกับการควบคุมภายในที่ผู้บริหารพิจารณาว่าจำเป็นเพื่อให้สามารถจัดทำงบการเงินที่ปราศจากการแสดงข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญไม่ว่าจะเกิดจากการทุจริตหรือข้อผิดพลาดได้ สำหรับความรับผิดชอบของผู้สอบบัญชี คือ การแสดงความเห็นต่องบการเงินจากผลการตรวจสอบ ประกอบกับมาตรฐานการสอบบัญชี รหัส ๕๘๐ หนังสือรับรอง กำหนดให้ผู้สอบบัญชีต้องขอให้ผู้บริหารจัดทำหนังสือรับรองว่าผู้บริหารได้ปฏิบัติตามหน้าที่ของตนในการจัดทำงบการเงินตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการนำเสนออย่างถูกต้องตามควร ตามที่ระบุไว้ในข้อตกลงในการรับงานสอบบัญชี
ดังนั้น หน้าที่ “รับรองงบการเงิน” ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้บริหารหน่วยรับตรวจ ในขณะที่“การตรวจสอบและแสดงความเห็นต่องบการเงิน” ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ในฐานะผู้สอบบัญชี
๔. ข้อกำหนดที่สำคัญในการแสดงความเห็นต่องบการเงิน ตามมาตรฐานการสอบบัญชีที่กำหนดโดยสภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้แก่
๔.๑ มาตรฐานการสอบบัญชี รหัส ๗๐๐ การแสดงความเห็นและการรายงานต่องบการเงิน ระบุว่า ผู้สอบบัญชีต้องแสดงความเห็นว่า งบการเงินได้จัดทำขึ้นในสาระสำคัญตามแม่บทการรายงานทางการเงินที่เกี่ยวข้องหรือไม่ ภายใต้ข้อกำหนดของแม่บทการรายงานทางการเงินที่เกี่ยวข้อง ผู้สอบบัญชีต้องประเมินว่า
(ก) งบการเงินได้เปิดเผยเกี่ยวกับนโยบายการบัญชีที่สำคัญที่เลือกและนำไปปฏิบัติอย่างเพียงพอแล้วหรือไม่
(ข) นโยบายการบัญชีที่เลือกและนำไปปฏิบัติสอดคล้องกับแม่บทการรายงานทางการเงินที่เกี่ยวข้องและเหมาะสมหรือไม่
(ค) ประมาณการทางบัญชีที่จัดทาขึ้นโดยผู้บริหารมีความสมเหตุสมผลหรือไม่
(ง) ข้อมูลที่นำเสนอในงบการเงินมีความเกี่ยวข้องกัน เชื่อถือได้ เปรียบเทียบกันได้ และเข้าใจได้หรือไม่
(จ) งบการเงินมีการเปิดเผยข้อมูลอย่างเพียงพอหรือไม่ เพื่อให้ผู้ใช้งบการเงินสามารถเข้าใจได้ถึงผลกระทบของรายการและเหตุการณ์ที่มีสาระสำคัญต่อข้อมูลที่นำเสนอในงบการเงิน และ
(ฉ) คำศัพท์ที่ใช้ในงบการเงิน รวมถึงชื่อของงบการเงินแต่ละงบมีความเหมาะสมหรือไม่
๔.๒ มาตรฐานการสอบบัญชี รหัส ๒๐๐ วัตถุประสงค์โดยรวมของผู้สอบบัญชีรับอนุญาตและ
การปฏิบัติงานตรวจสอบตามมาตรฐานการสอบบัญชี ระบุว่า ผู้สอบบัญชีจะใช้แนวคิดเกี่ยวกับความมีสาระสำคัญ ทั้งในการวางแผนและการปฏิบัติงานตรวจสอบ และในการประเมินผลกระทบของการแสดงข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงที่พบในระหว่างการตรวจสอบและผลกระทบของการแสดงข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงที่ไม่ได้รับการแก้ไข (ถ้ามี) ที่มีต่องบการเงิน โดยทั่วไป การแสดงข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริง รวมถึงการละเว้นการบันทึกบัญชีจะมีสาระสำคัญหากเมื่อพิจารณาแต่ละรายการหรือหลายรายการรวมกันแล้ว สามารถคาดคะเนได้อย่างมีเหตุผลว่า การแสดงข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงเหล่านั้นจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเชิงเศรษฐกิจของผู้ใช้งบการเงินจากการใช้ข้อมูลในงบการเงินนั้น การใช้ดุลยพินิจเกี่ยวกับความมีสาระสำคัญเป็นไปตามสถานการณ์แวดล้อม ความเข้าใจของผู้สอบบัญชีเกี่ยวกับความต้องการข้อมูลทางการเงินของผู้ใช้งบการเงิน และขนาดหรือลักษณะของการแสดงข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงหรือทั้งสองปัจจัยประกอบกัน มีผลกระทบต่อการใช้ดุลยพินิจดังกล่าว ความเห็นของผู้สอบบัญชีเกี่ยวข้องกับงบการเงินโดยรวม ดังนั้น ผู้สอบบัญชีจึงไม่มีความรับผิดชอบในการตรวจให้พบการแสดงข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงที่ไม่มีสาระสำคัญต่องบการเงินโดยรวม
๔.๓ มาตรฐานการสอบบัญชี รหัส ๓๒๐ ความมีสาระสำคัญในการวางแผนและการปฏิบัติงานสอบบัญชี ระบุว่าแม่บทการรายงานทางการเงินจะอธิบายเกี่ยวกับหลักการของความมีสาระสำคัญในการจัดทำและนำเสนองบการเงิน ถึงแม้ว่าแม่บทการรายงานทางการเงินอาจอธิบายถึงความมีสาระสำคัญในความหมายที่ต่างกัน แต่โดยทั่วไปแม่บทการรายงานทางการเงินมักจะอธิบายว่า
• การแสดงข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงซึ่งรวมถึงการไม่แสดงข้อมูล จะถูกพิจารณาว่ามีสาระสำคัญ ถ้าการแสดงข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงรายการใดรายการหนึ่งหรือทุกรายการโดยรวมจะสามารถคาดการณ์ได้อย่างสมเหตุสมผลว่ามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเชิงเศรษฐกิจของผู้ใช้งบการเงิน
• การใช้ดุลยพินิจเกี่ยวกับความมีสาระสำคัญจะพิจารณาในแง่ของสภาวะแวดล้อม และผลกระทบของขนาด หรือลักษณะของการแสดงข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริง หรือพิจารณาจากทั้งสององค์ประกอบ และ
• การใช้ดุลยพินิจว่าเรื่องใดมีสาระสำคัญต่อผู้ใช้งบการเงินจะขึ้นอยู่กับการพิจารณาความต้องการข้อมูลพื้นฐานทางการเงินของผู้ใช้งบการเงินโดยรวม ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการแสดงข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงที่มีต่อผู้ใช้งบการเงินรายใดรายหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง ซึ่งความต้องการของผู้ใช้งบการเงินเหล่านั้นอาจมีความแตกต่างกันอย่างมากจะไม่ถูกนำมาพิจารณา
๕. ข้อมูลเปรียบเทียบระหว่างมูลค่าทรัพย์สินที่ สตง.เห็นว่า บมจ. ปตท. ส่งมอบไม่ครบถ้วน กับมูลค่าของสินทรัพย์รวมในงบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะกิจการ ตั้งแต่ปี ๒๕๕๑ – ๒๕๕๘
งบการเงินประจำปี | 2551 | 2552 | 2553 | 2554 | 2555 | 2556 |
มูลค่าของสินทรัพย์รวม | ||||||
- งบการเงินรวม | 1,103,589.72 | 1,102,544.17 | 1,226,339.79 | 1,400,746.93 | 1,633,862.64 | 2,245,102.88 |
- งบการเงินเฉพาะกิจการ | 589,542.76 | 684,668.43 | 772,258.66 | 815,688.10 | 980,913.19 | 1,031,852.33 |
มูลค่าทรัพย์สินที่ สตง.เห็นว่าส่งมอบ ไม่ครบถ้วน |
32,613.45 | 32,613.45 | 32,613.45 | 32,613.45 | 32,613.45 | 32,613.45 |
% ของสินทรัพย์รวมตาม งบการเงินรวม |
2.96% | 2.96% | 2.66% | 2.33% | 2.00% | 1.45% |
% ของสินทรัพย์รวมตามงบการเงินเฉพาะกิจการ | 5.53% | 4.76% | 4.22% | 4.00% | 3.32% | 3.16% |
๖. หากพิจารณาข้อเท็จจริงในการแบ่งแยกและส่งมอบท่อส่งก๊าซที่อยู่ในที่ดินให้กระทรวงการคลัง พบว่ากระทรวงการคลังและ บมจ. ปตท. ได้มีการทำสัญญาเพื่อให้ บมจ. ปตท. ใช้ทรัพย์สินดังกล่าว มีกำหนดระยะเวลา ๓๐ ปี และให้ บมจ. ปตท. จ่ายชำระค่าตอบแทนย้อนหลังตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกำหนด สำหรับการบันทึกรายการดังกล่าวที่แสดงรายงานในงบการเงินของ บมจ. ปตท. ได้ถือปฏิบัติตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ซึ่งหลักเกณฑ์การบันทึกรายการดังกล่าวมีความแตกต่างจากหลักทางกฎหมาย กล่าวคือ
๖.๑ แม่บทการบัญชี ที่กำหนดโดยสภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อวางแนวคิดที่เป็นพื้นฐานในการจัดทำและนำเสนองบการเงินแก่ผู้ใช้งบการเงินที่เป็นบุคคลภายนอก ระบุว่า “เพื่อให้ข้อมูลเป็นตัวแทนอันเที่ยงธรรมของรายการและเหตุการณ์ทางบัญชี ข้อมูลดังกล่าวต้องบันทึกและแสดงตามเนื้อหาและความเป็นจริงเชิงเศรษฐกิจ มิใช่รูปแบบทางกฎหมายเพียงอย่างเดียว เนื้อหาของรายการและเหตุการณ์ทางบัญชีอาจไม่ตรงกับรูปแบบทางกฎหมายหรือรูปแบบที่ทำขึ้น” ต่อมา ในปี ๒๕๕๗ สภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้กำหนดกรอบแนวคิดสำหรับการรายงานทางการเงิน ซึ่งกำหนดแนวคิดที่ใช้เป็นเกณฑ์ในการจัดทำและการนำเสนองบการเงินสำหรับผู้ใช้ภายนอก โดยใช้แทนแม่บทการบัญชี ได้ระบุในลักษณะเช่นเดียวกับแม่บทการบัญชีว่า “ในการพิจารณาว่ารายการใดเป็นสินทรัพย์ หนี้สิน หรือส่วนของเจ้าของตามคำนิยามหรือไม่ กิจการต้องให้ความสนใจกับเนื้อหาและความเป็นจริงเชิงเศรษฐกิจ มิใช่รูปแบบทางกฎหมายเพียงอย่างเดียว”
๖.๒ มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ ๑๗ เรื่อง สัญญาเช่า กำหนดว่า ในการจัดประเภทสัญญาเช่าเป็นสัญญาเช่าการเงินหรือสัญญาเช่าดำเนินงาน กิจการต้องพิจารณาถึงเนื้อหาของรายการมากกว่ารูปแบบตามสัญญา ตามปกติกิจการต้องจัดประเภทสัญญาเช่าเป็นสัญญาเช่าการเงิน หากสัญญานั้นทำให้เกิดสถานการณ์ต่อไปนี้อย่างน้อยหนึ่งสถานการณ์
• สัญญาเช่าโอนความเป็นเจ้าของในสินทรัพย์ให้แก่ผู้เช่าเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาของสัญญาเช่า
• ผู้เช่ามีสิทธิเลือกซื้อสินทรัพย์ด้วยราคาที่ต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม ณ วันที่สิทธิเลือกซื้อเกิดขึ้น โดยราคาตามสิทธิเลือกซื้อนั้นมีจำนวนต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์มากเพียงพอที่จะทาให้เกิดความแน่ใจอย่างสมเหตุสมผล ณ วันเริ่มต้นของสัญญาเช่าว่าผู้เช่าจะใช้สิทธิเลือกซื้อสินทรัพย์นั้น
• ระยะเวลาของสัญญาเช่าครอบคลุมอายุการให้ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของสินทรัพย์ แม้ว่าจะไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์เกิดขึ้น
• ณ วันเริ่มต้นของสัญญาเช่า มูลค่าปัจจุบันของจานวนเงินขั้นต่ำที่ต้องจ่ายมีจำนวนเท่ากับหรือเกือบเท่ากับมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ที่เช่า และ
• สินทรัพย์ที่เช่ามีลักษณะเฉพาะจนกระทั่งมีผู้เช่าเพียงผู้เดียวที่สามารถใช้สินทรัพย์นั้น โดยไม่จำเป็นต้องนำสินทรัพย์ดังกล่าวมาทำการดัดแปลงที่สำคัญ
สำหรับการรับรู้เริ่มแรกของสัญญาเช่าการเงิน ณ วันที่สัญญาเช่าเริ่มมีผล ผู้เช่าต้องรับรู้สัญญาเช่าการเงินเป็นสินทรัพย์และหนี้สินในงบแสดงฐานะการเงินของผู้เช่าด้วยจำนวนเงินเท่ากับมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ที่เช่า หรือมูลค่าปัจจุบันของจำนวนเงินขั้นต่ำที่ต้องจ่ายแล้วแต่จำนวนใดจะต่ำกว่า ซึ่งพิจารณา ณ วันเริ่มต้นของสัญญาเช่า อัตราคิดลดในการคำนวณมูลค่าปัจจุบันของจำนวนเงินขั้นต่ำที่ต้องจ่ายคือ อัตราดอกเบี้ยตามนัยของสัญญาเช่าหากสามารถกำหนดได้ในทางปฏิบัติ หากในทางปฏิบัติไม่สามารถกำหนดได้ ให้ใช้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมส่วนเพิ่มของผู้เช่าเป็นอัตราคิดลด ต้นทุนทางตรงเริ่มแรกของผู้เช่าต้องรวมเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนสินทรัพย์ที่รับรู้
๖.๓ กรอบแนวคิดสำหรับการรายงานทางการเงิน กำหนดว่า หนี้สิน หมายถึง ภาระผูกพันในปัจจุบันของกิจการ ซึ่งเป็นผลของเหตุการณ์ในอดีตโดยการชำระภาระผูกพันนั้นคาดว่าจะส่งผลให้กิจการสูญเสียทรัพยากรที่มีประโยชน์เชิงเศรษฐกิจ กิจการต้องรับรู้หนี้สินในงบดุลเมื่อมีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ที่กิจการต้องสูญเสียประโยชน์เชิงเศรษฐกิจของทรัพยากรเพื่อชำระภาระผูกพันในปัจจุบัน และเมื่อมูลค่าของภาระผูกพันที่ต้องชำระนั้นสามารถวัดได้อย่างน่าเชื่อถือ
กรณีการแบ่งแยกและส่งมอบท่อส่งก๊าซให้กระทรวงการคลัง แม้ว่ากรรมสิทธิ์ในท่อส่งก๊าซ
ตามรูปแบบทางกฎหมายเป็นของกระทรวงการคลัง แต่หากพิจารณาถึงเนื้อหาและความเป็นจริงเชิงเศรษฐกิจจากลักษณะของสินทรัพย์ที่เช่าประกอบกับกำหนดระยะเวลาของสัญญา จะเห็นได้ว่าสินทรัพย์ที่เช่า คือ ท่อส่งก๊าซ มีลักษณะเฉพาะจนกระทั่งมีผู้เช่าเพียงผู้เดียวที่สามารถใช้สินทรัพย์นั้น โดยไม่จำเป็นต้องนำสินทรัพย์ดังกล่าวมาทำการดัดแปลงที่สำคัญ และกำหนดระยะเวลาของสัญญาเช่า ๓๐ ปี ได้ครอบคลุมอายุการให้ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของสินทรัพย์ แม้ว่าจะไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์เกิดขึ้น ถือว่าสัญญาระหว่างกระทรวงการคลังและ บมจ. ปตท. เป็นสัญญาเช่าทางการเงิน ซึ่ง บมจ. ปตท. ได้บันทึกรับรู้ท่อส่งก๊าซที่ได้แบ่งแยกและโอนให้กระทรวงการคลังและได้มีการทำสัญญาเพื่อให้ บมจ. ปตท. ใช้ทรัพย์สินดังกล่าว เป็นสินทรัพย์ในงบการเงินของ บมจ. ปตท. ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดในมาตรฐานการรายงานทางการเงิน
ดังนั้น หาก บมจ. ปตท. ส่งมอบท่อส่งก๊าซที่อยู่ในทะเลให้กระทรวงการคลัง โดยใช้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการส่งมอบเช่นเดียวกับการส่งมอบท่อส่งก๊าซที่อยู่ในที่ดิน เว้นแต่ในเรื่องจำนวนเงินค่าตอบแทน ท่อส่งก๊าซที่อยู่ในทะเลดังกล่าว ย่อมถือเป็นสินทรัพย์ในงบการเงินของ บมจ. ปตท. ในส่วนของการจ่ายชำระค่าตอบแทนย้อนหลังตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกำหนด ภาระผูกพันดังกล่าวอาจเป็นหนี้สินตามคำนิยาม แต่ไม่เข้าเกณฑ์การรับรู้รายการซึ่งกิจการต้องรับรู้ในงบการเงิน
ความเห็น
จากข้อเท็จจริงข้างต้น จะเห็นว่าการตรวจสอบของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเป็นการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบการเงินแผ่นดิน ใน ๒ ลักษณะ กล่าวคือ การตรวจสอบรับรองความถูกต้องมูลค่าทรัพย์สินที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) แบ่งแยกให้กระทรวงการคลังตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดเป็นการปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่กฎหมายกำหนด ในขณะที่การตรวจสอบงบการเงินเป็นการแสดงความเห็นตามมาตรฐานการสอบบัญชีว่า งบการเงินได้จัดทำขึ้นในสาระสำคัญตามแม่บทการรายงานทางการเงินที่เกี่ยวข้องหรือไม่ โดยใช้แนวคิดเกี่ยวกับความมีสาระสำคัญ ทั้งในการวางแผนและการปฏิบัติงานตรวจสอบ และในการประเมินผลกระทบของการแสดงข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงที่พบในระหว่างการตรวจสอบและผลกระทบของการแสดงข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงที่ไม่ได้รับการแก้ไขที่มีต่องบการเงิน
หากพิจารณาข้อมูลเปรียบเทียบระหว่างมูลค่าทรัพย์สินที่ สตง.เห็นว่า บมจ. ปตท. ส่งมอบไม่ครบถ้วน กับมูลค่าของสินทรัพย์รวมในงบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะกิจการ ตั้งแต่ปี ๒๕๕๑ – ๒๕๕๘ จะเห็นได้ว่ามูลค่าทรัพย์สินที่ สตง.เห็นว่า บมจ. ปตท. ส่งมอบไม่ครบถ้วน ถือว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าของสินทรัพย์รวม และมิได้อยู่ในระดับที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเชิงเศรษฐกิจของผู้ใช้งบการเงิน
สำหรับการแสดงรายการในงบการเงิน หลักเกณฑ์การบันทึกรายการย่อมมีความแตกต่างจากหลักทางกฎหมาย อันเนื่องมาจากแนวคิดที่เป็นพื้นฐานในการจัดทำและนำเสนองบการเงินแก่ผู้ใช้งบการเงินที่เป็นบุคคลภายนอกที่ว่า “เนื้อหาสำคัญกว่ารูปแบบ” โดยเนื้อหาของรายการและเหตุการณ์ทางบัญชีอาจไม่ตรงกับรูปแบบทางกฎหมาย สำหรับกรณีที่ บมจ. ปตท. ต้องแบ่งแยกและโอนท่อส่งก๊าซที่อยู่ในทะเลให้กระทรวงการคลัง และมีการทำสัญญาเพื่อให้ บมจ. ปตท. ใช้ทรัพย์สินดังกล่าว โดยใช้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการส่งมอบเช่นเดียวกับการส่งมอบท่อส่งก๊าซที่อยู่ในที่ดิน เว้นแต่ในเรื่องจำนวนเงินค่าตอบแทน ท่อส่งก๊าซที่อยู่ในทะเลย่อมถือเป็นสินทรัพย์ในงบการเงินของ บมจ. ปตท. แม้ว่ากรรมสิทธิ์ในท่อส่งก๊าซตามรูปแบบทางกฎหมายเป็นของกระทรวงการคลัง ในส่วนของการจ่ายชำระค่าตอบแทนย้อนหลังตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกำหนด ภาระผูกพันดังกล่าวอาจเป็นหนี้สินตามคำนิยาม แต่ไม่เข้าเกณฑ์การรับรู้รายการซึ่งกิจการต้องรับรู้ในงบการเงิน
ดังนั้น การตรวจสอบงบการเงินและแสดงความเห็นว่างบการเงินของ บมจ. ปตท.ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ย่อมเป็นไปตามอำนาจหน้าที่โดยถือปฏิบัติตามมาตรฐานการสอบบัญชีทุกประการ มิได้เป็นการให้ข้อมูลอันเป็นเท็จหรือผิดจรรยาบรรณแต่อย่างใด
(อ่านคำชี้แจงในส่วนของ บมจ.ปตท. ได้ ที่นี่ )
อ่านประกอบ :
ฟังชัดๆ ข้อเท็จจริง 5 ประเด็น! 'สตง.' หักล้าง 'ปตท.' เงื่อนงำคดีส่งคืนท่อก๊าซ
สตง.เชือด‘หมอเลี๊ยบ-ประเสริฐ’คดีส่งคืนท่อก๊าซ ปตท.ไม่ครบเสียหาย 3.2 หมื่นล.
พฤติกรรมบั่นทอนขวัญกำลังใจ! รองปลัดคลังฯโต้'คตง-สตง.'ชี้มูลคดีท่อก๊าซ ปตท.