ฮือวอร์คเอาท์ ค้านเวทีประชาพิจารณ์ พ.ร.บ.สสส.
ภาคประชาชนออกแถลงการณ์ วอล์คเอาท์ไม่ร่วมประชาพิจารณ์ร่างพรบ.สสส.เหตุถูกเมินให้เพิ่มเวทีผู้มีส่วนเกี่ยวข้องรับฟังความคิดเห็น อัดหลักการและเหตุผลขาดข้อเท็จจริง มีอคติ
เมื่อวันที่ 3 เม.ย. 2560 ระหว่างการสัมมนาประชาพิจารณ์ ร่างพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (ฉบับที่...) พ.ศ. ... ฉบับที่ผ่านความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงยุติธรรม ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ คอนเวนชัน นางทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก วอล์คเอาท์จากการสัมมนาเป็นคนแรก โดยให้เหตุผลว่า การแก้ไข พ.ร.บ.สสส. เป็นการตั้งโจทย์ผิดตั้งแต่เริ่ม เพราะหลักการและเหตุผลที่ระบุว่า การดำเนินงานที่ไม่เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลและไม่ความคุ้มค่าทางภารกิจ แต่ข้อเท็จจริงคือผลการตรวจสอบจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ที่ออกมาระบุว่าไม่มีการทุจริต แต่มีการใช้เงินผิดวัตถุประสงค์หรือกว้างกว่ากรอบที่วางไว้
นางทิชา ชี้ว่า การประชาพิจารณ์ควรเป็นการพูดถึงกรอบที่ว่ากว้างว่าคืออะไร เป็นไปได้หรือไม่ว่า ภายใต้การเกิดขึ้น สสส. เมื่อ 14 ปีที่แล้วที่มีเงื่อนไขทางสุขภาพคือ เหล้า บุหรี่ และอุบัติเหตุ เท่านั้น แต่เมื่อทำ งานจริงทำให้พบว่า ประเด็นที่เกี่ยวข้องกว้างไกลไปกว่าเรื่องเหล่านี้ เรื่องสุขภาพอาจเป็นเรื่องความมั่นคงทางอาหารหรืออื่นๆด้วยก็ได้ ซึ่งสอดคล้องกับนิยามสุขภาพของ WHO ที่รวมไปถึงด้านกาย ใจ ปัญญา และสิ่งแวดล้อม
“หากถามถึงความคุ้มค่า องค์กรรัฐที่มีหน้าที่โดยตรงทำอะไรคุ้มค่าบ้าง กระทรวงศึกษาธิการ ใช้งบ 4 แสนล้านบาท หรือปัญหาความมั่นคงที่ภาคใต้ใช้เงิน 2 แสนล้านบาท ถามว่าตอนนี้คุ้มค่าหรือยัง วันนี้เราไม่ได้เอาความชั่วมาถกเถียงกัน แต่ต้องการสร้างความยุติธรรมให้ทุกฝ่าย” นางทิชา กล่าว
นางทิชา ย้ำว่า สสส.มีเรื่องต้องปรับปรุงเช่นกัน แต่การปรับปรุงที่เกิดขึ้นในเวลานี้ไม่ตรงไปตรงมา บิดเบือน และเป็นห่วงว่าเมื่อสิ้นสุดการประชาพิจารณ์ ตนเองจะกลายเป็นหนึ่งในการสร้างความชอบธรรมให้การประชาพิจารณ์ครั้งนี้
“เริ่มต้นก็ไม่เป็นธรรม มีเหตุผลอะไรที่ต้องสร้างความชอบธรรมให้” นางทิชากล่าวและวอล์กเอาท์ออกจากห้องประชุมทันที
นายวันชัย บุญประชา กรรมการและเลขานุการมูลนิธิครอบครัวไทย ตั้งคำถามถึงการมีส่วนร่วมในการร่าง พ.ร.บ. สสส. โดยถามว่า มีตัวแทนจาก สสส.เข้าร่วมด้วยหรือไม่ หากเข้าร่วม เหตุใดจึงปล่อยให้มีร่างกฎหมายลักษณะแบบนี้ออกมา และส่วนตัวคิดว่าไม่มีความจำเป็นในการมีส่วนร่วมในการประชาพิจารณ์ครั้งนี้ เพราะเหมือนเป็นแค่ทำให้ครบไปตามประบวนการเท่านั้น แต่ไม่ได้ฟังเสียงประชาชน ทั้งที่ควรฟังเสียงคนที่ทำงานกับ สสส.มา 10 ปี ไม่ใช่แค่คนจาก 3 กระทรวง
"ไม่เห็นด้วยกับการจัดสัมมนาแบบนี้ รวบรัดและสมคบคิด มันเหมือนเป็นพิธีกรรม พวกเราไม่สบายใจ" นายวันชัย กล่าว
เช่นเดียวกับ นายไพศาล ลิ้มสถิตย์ กรรมการบริหารศูนย์กฎหมาย สุขภาพและจริยศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ที่กล่าวถึงกระบวนการรับฟังความคิดเห็นว่า อาจจะไม่สอดคล้องกับร่างรัฐธรรมนูญที่ทูลเกล้าฯที่ผ่านประชามติ ในมาตรา 77 ที่บัญญัติว่า รัฐพึงจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นผู้เกี่ยวข้องอย่างรอบด้านและเป็นระบบ เปิดเผยผลการรับฟังความคิดเห็นต่อประชาชนและนำมาปรับปรุงแก้ไข เพราะไม่แน่ใจว่ามีกระบวนการเหล่านี้ในการแก้ไขกฎหมายครั้งนี้
นายวิษณุ ศรีทะวงศ์ ผู้จัดการแผนพัฒนานโยบายสาธารณะ สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) กล่าวว่า ประเทศไทยมีกองทุนจำนวนมาก แต่ที่เป็นกองทุนเชิงนวัตกรรมมีน้อย และบางกองทุนยังไม่มีประสิทธิภาพ อยากขอให้ใช้มาตรการเดียวกันในการตรวจสอบมาตรฐาน
"สังคมไทยไม่มีกลไกสร้างพลังร่วม สสส. ทำให้หลายหน่วยงานจับไม้จับมือร่วมกันทำงานได้" นายวิษณุ กล่าวพร้อมเสนอว่า เมื่อผลสอบ คตร. ออกมาว่าเข้าใจผิดแล้ว ก็น่าจะมีวิธีเสริมพลัง ไม่ใช่เล่นบทลงโทษ
ภายหลังจาก นางทิชา วอล์คเอาท์จากการสัมมนาเป็นคนแรก ทำให้ผู้เข้าร่วมจากภาคประชาสังคมจำนวนมากตั้งคำถามกับกระบวนการร่าง พ.ร.บ. รวมถึงหลักการและเหตุผลในการแก้ไข พ.ร.บ. พร้อมเรียกร้องให้ยุติเวทีสัมมนาประชาพิจารณ์เพื่อทบทวนใหม่ แต่ผู้ดำเนินการสัมมนาจากกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า การสัมมนาต้องดำเนินต่อไป หากไม่อ่านเนื้อหาในร่างก็จะเป็นการเสียสิทธิในเสนอเพื่อพิจารณาขั้นต่อไป ภาคประชาสังคมจึงมีข้อสรุปไม่เข้าร่วมการประชุมต่อในช่วงบ่าย ทำให้ในช่วงบ่ายมีผู้เข้าร่วมลดกว่าครึ่ง เหลือราว 100 คน
จากนั้นตัวแทนภาคประชาชน ในนามขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชน (ขสบ.) กว่า30 คน ได้ยื่นอ่านแถลงการณ์ หน้าห้องประชุม เพื่อคัดค้านกระบวนการและขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นร่างพ.ร.บ.สสส.
โดยนายคำรณ ชูเดชา ผู้ประสานงาน ขสบ.เป็นตัวแทนอ่านแถลงการณ์ดังนี้
ขสบ.ซึ่งเป็นองค์กรภาคี 30 เครือข่าย ที่ขับเคลื่อนการปฏิรูประบบสุขภาพ และดำเนินงานการสร้างเสริมสุขภาพมาตลอดระยะเวลาหลาย 10 ปี มีความเห็นต่อการจัดเวทีสัมมนาประชาพิจารณ์ในครั้งนี้ ดังต่อไปนี้
1.กระบวนการและขั้นตอนการจัดทำร่างแก้ไข พ.ร.บ. สสส. ขาดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ไม่สอดคล้องกับมาตรา 77 ของร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ..... ที่ผ่านประชามติไปแล้ว โดยรัฐไม่ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้อง วิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายอย่ารอบด้านและเป็นระบบ อีกทั้งไม่เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ.2548
2. หลักการและเหตุผลในการขอแก้ไข พ.ร.บ. สสส. ไม่มีการศึกษาทางวิชาการอย่างเป็นระบบถึงวัตถุประสงค์ในการแก้ไขว่าจะเกิดประโยชน์กับประชาชนอย่างไร นอกจากนี้ เหตุผลที่ขอแก้ไขยังขัดแย้งกับความเป็นจริง เช่น การอ้างว่า สสส. มีการจ่ายเงินงบประมาณไม่เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล ซึ่งขัดแย้งกับข้อเท็จจริง ที่คณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ(คตช.) สำนักงานคณะกรรมการป้องและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ(สำนักงาน ป.ป.ท.) ให้การรับรองและมอบเกียรติบัตรเชิดชูเกียรติแก่ สสส. ในฐานะหน่วยงานภาครัฐที่ได้รับผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในระดับสูงมาก ซึ่งลงนามโดยนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ การแก้ไขจะทำให้กระบวนการสร้างเสริมสุขภาพด้อยประสิทธิภาพลง ด้วยการลดงบประมาณและดึงงบประมาณ สสส.เข้าสู่ระบบราชการ ที่สวนทางกับแนวทางขององค์การอนามัยโลกซึ่งให้ความสำคัญกับการสร้างเสริมสุขภาพ และยกย่องให้ สสส. เป็นองค์กรนวัตกรรม และเป็นตัวอย่างของนานาชาติด้านการสร้างเสริมสุขภาพ
ขสช. ขอคัดค้านและขอให้ยุติวิธีการอันไม่ถูกต้อง ขสช.จึงมีความเห็นว่า กระบวนการการแก้ไขกฎหมายที่ดีจะต้องเริ่มต้นด้วยการให้มีคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่ง ประกอบด้วยผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ทำหน้าที่ศึกษาและรวบรวมข้อมูลหลักฐาน รวมถึงการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายอย่างรอบด้านและเป็นระบบ จากนั้นจึงนำไปสู่กระบวนการแก้ไขกฎหมาย และรับฟังความคิดเห็นอย่างครอบคลุมและทั่วถึง