ศาลสูงหนุนทรัมป์ พิพากษาห้าม 5 ชาติมุสลิมเข้าประเทศ
วอชิงตัน ศาลฎีกาสหรัฐพิพากษายืนตามคำสั่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ประกาศห้ามประชาชนจากบางประเทศมุสลิมเข้าสหรัฐ
แต่คำสั่งปราบปรามอย่างเด็ดขาดกับผู้อพยพเข้าประเทศผิดกฎหมายต้องระงับไว้ก่อน เนื่องจากสถานกักกันครอบครัวผู้ลักลอบอพยพที่ถูกจับกุมได้ทางชายแดนเม็กซิโกไม่เพียงพอ
ศาลฎีกาสหรัฐลงมติด้วยคะแนนเสียง 5 ต่อ 4 ตัดสินให้คำสั่งของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ห้าม 5 ชาติมุสลิม ได้แก่ อิหร่าน ลิเบีย โซมาเลีย ซีเรีย และ เยเมน ตลอดจน เกาหลีเหนือ และเวเนซุเอลาเดินทางเข้าสหรัฐ เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากสถานกักกันครอบครัวผู้ลักลอบอพยพที่ถูกจับกุมได้ทางชายแดนเม็กซิโกไม่เพียงพอ แม้ก่อนหน้านี้ ศาลชั้นต้นได้ตัดสินว่า คำสั่งดังกล่าวขัดรัฐธรรมนูญและเลือกปฏิบัติต่อการนับถือศาสนา คำตัดสินของศาลฎีกาสหรัฐ จะทำให้คำสั่งห้ามชาวมุสลิม 5 ชาติเดินทางเข้าสหรัฐ มีผลบังคับใช้ในเดือนธันวาคมนี้
คำประกาศของศาลฎีกาถือว่าเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของประธานาธิบดีทรัมป์แห่งพรรครีพับลิกันที่พยายามใช้นโยบายเข้มงวดกับการตรวจคนเข้าเมือง นายทรัมป์แถลงอ้างชัยชนะในคำสั่งศาล โดยกล่าวยกย่องคำตัดสินของศาลสูงว่า เป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ต่อรัฐธรรมนูญและความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ถือเป็นความสำเร็จและชัยชนะของประชาชนชาวอเมริกัน อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้ประท้วงออกเดินขบวนตามท้องถนนหลายสายทั้งในวอชิงตัน ลอสแองเจลิส และนิวยอร์ก คัดค้านรัฐบาลใช้อำนาจปราบปรามรุนแรงกับผู้อพยพทางชายแดนใต้ ซึ่งเด็กจำนวน 2,000 คนยังคงถูกกักกันไว้แยกจากครอบครัวผู้อพยพ ด้านชาวมุสลิม องค์กรด้านสิทธิมนุษยชน และนักการเมืองของพรรคเดโมแครต ต่างก็ไม่พอใจและผิดหวังต่อคำตัดสินของศาลสูงสหรัฐเช่นกัน ส่วนสภาความสัมพันธ์อเมริกัน-อิสลาม ได้แสดงความไม่พอใจต่อคำตัดสินของศาลสูง ที่ปล่อยให้รัฐบาลสหรัฐภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์ ใช้การเลือกปฏิบัติในระบบตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐได้ตามอำเภอใจ
ในอีกด้านหนึ่ง มีรายงานว่า รัฐต่างๆ ในสหรัฐรวม 17 รัฐ ได้ยื่นฟ้องรัฐบาลของประธานาธิบดีทรัมป์ กรณีที่ลงนามในคำสั่งผู้บริหารแยกครอบครัวผู้อพยพออกจากกันเมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 2561 โดยการดำเนินคดีทางกฎหมายครั้งนี้พุ่งเป้าไปที่นโยบายที่ปฏิเสธการเข้าประเทศของผู้ลี้ภัยบริเวณชายแดนระหว่างเม็กซิโกและสหรัฐ ซึ่งเนื้อหาในคำฟ้องร้องระบุว่านโยบายดังกล่าวเป็นสิ่งที่โหดร้าย ไม่ชอบด้วยกฎหมายและหลอกลวง ถือเป็นความท้าทายทางกฎหมายครั้งแรกต่อกรณีการแยกครอบครัวผู้อพยพจากรัฐต่างๆ ซึ่งคำฟ้องร้องโต้แย้งว่าคำสั่งผู้บริหารของประธานาธิบดีได้ปฏิเสธครอบครัวผู้อพยพที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ และสิทธิของการขอลี้ภัย โดยรัฐต่างๆ กำลังหาทางให้ศาลออกคำสั่งเพื่อให้ครอบครัวเหล่านี้กลับมาอยู่ด้วยกัน และให้ยุติการแยกครอบครัวด้วยการระบุว่าเป็นสิ่งที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ