กิตติพงษ์ กิตยารักษ์:“ปฏิรูปอย่างไรในกระแสความขัดแย้ง”
นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม โพสต์เฟซบุ๊ค "Kittipong Kittayarak (กิตติพงษ์ กิตยารักษ์)" ถึงข้อเสนอ “ปฏิรูปอย่างไรในกระแสความขัดแย้ง” โดย ระบุว่า
1. โจทย์สำคัญสำหรับประเทศไทยในเวลานี้ ไม่ใช่ประเด็นเรื่อง “การเลือกตั้ง” กับ “การปฏิรูป” เท่านั้น การแก้ปัญหาประเทศไทยต้องคำนึงถึง “มิติความขัดแย้ง” ที่ดำรงอยู่อย่างยาวนานถึงขั้น “ร้าวลึก” ด้วย ในความขัดแย้งทางการเมืองทั่ว ๆ ไป การยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ หรือการปฏิรูปการเมืองจัดทำกติกาใหม่อาจนำไปสู่การแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองได้ แต่กรณีประเทศไทยการเลือกตั้งโดยไม่ได้จัดการกับปัญหาพื้นฐานของความขัดแย้งซึ่งมีรากฐานมาจากความไม่พอใจในระบบการเมืองที่เป็นอยู่นอกจากไม่ใช่แนวทางในการสร้างความปรองดองแล้ว ยังนำมาสู่ความแตกแยกมากขึ้นและอาจนำไปสู่ความรุนแรงที่ขยายวงด้วย ในทำนองเดียวกันการดำเนินการเรื่องปฏิรูปหากผลักดันโดยคู่ขัดแย้ง โดยไม่สร้างความไว้วางใจหรือข้อตกลงพื้นฐานถึงทิศทางในอนาคตร่วมกันย่อมไม่สามารถนำไปสู่ความสำเร็จได้
2. ในห้วงเวลาที่ผ่านมาความหวังเดียวที่ทำให้เริ่มมองเห็นแสงสว่างที่อาจเป็นทางออกของประเทศคือความเห็นร่วมกันของทุกฝ่ายที่ต้องการปฏิรูป ผมจึงได้นำเสนอแนวคิดเรื่อง “เวทีกลาง” ที่ประกอบด้วยกลุ่มคนที่โดยภาพรวมของกลุ่มเป็นที่รับได้ว่าเป็นกลางพอ มาเป็นจุดเริ่มต้นให้คู่ขัดแย้งได้มีโอกาสพูดคุยกัน เพราะการปฏิรูปในกระแสความขัดแย้งไม่สามารถดำเนินไปได้อย่างแน่นอนถ้า “ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง” (Stakeholders) ซึ่งย่อมต้องรวมถึงคู่ขัดแย้งด้วย ไม่ได้มาร่วมตกลงในกรอบอนาคตของประเทศที่เราอยากเห็นร่วมกัน ในตอนนั้นผมไม่ได้กล่าวถึงประเด็นเกี่ยวกับ “วันเลือกตั้ง” เพราะคิดว่าหากเกิดเวทีพูดคุยกันแล้วก็จะเห็นได้เองว่าเราสามารถพิจารณาจัดทำ “Roadmap” หรือ “เส้นทางสู่การปฏิรูป” และ“หลักประกัน” ที่ชัดเจนที่จะมั่นใจว่าการปฏิรูปจะเกิดได้จริงหลังการเลือกตั้งได้ทันหรือไม่ ซึ่งจะทำให้เห็นได้เองว่าจำเป็นหรือไม่ที่จะเลื่อนการเลือกตั้งออกไป แต่ในที่สุดด้วยเหตุปัจจัยต่างๆทำให้ “เวทีกลาง” ของการพูดคุยไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เมื่อไม่สามารถมีเวทีกลางในการพูดคุยเกิดขึ้นความพยายามในการผลักดันให้เกิดการเลือกตั้งและความพยายามในการนำเสนอกรอบแนวทางในการปฏิรูปของรัฐบาลจึงไม่ได้รับการสนับสนุนที่เพียงพอเพราะไม่สามารถทำให้เกิด “ความเชื่อมโยงระหว่างการเลือกตั้งกับอนาคตในการปฏิรูป” ในระดับที่เพียงพอที่จะทำให้สังคมมั่นใจว่าจะนำมาสู่ทางออกของประเทศได้
3. เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ที่กล่าวมาผมคิดว่าขณะนี้ประเทศไทยได้เิดินมาถึงทางแยกอีกครั้งหนึ่ง ทางแยกหนึ่ง คือสถานการณ์ที่คู่ขัดแย้งไม่พูดคุยกัน เพราะยังไม่พร้อมที่จะถอย ยังคงชิงไหวชิงพริบในความได้เปรียบทางการเมืองตลอดเวลา หนทางสายนี้เป็นเส้นทางวิบากที่ยากจะทำให้ความหวังร่วมกันที่จะหาทางออกให้ประเทศในระยะเวลาอันสั้น และจะเป็นหนทางที่ในที่สุดจะนำไปสู่ความขัดแย้ง ความรุนแรงและความสูญเสียที่จะสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้กับบ้านเมืองที่ยากที่จะทำให้กลับมาดังเดิมได้อีก อีกทางแยกหนึ่ง คือการที่คู่ขัดแย้งทุกฝ่ายยอมถอยคนละก้าว ยอมที่จะเข้ามาในเวทีกลางของการพูดคุยและใช้กระบวนการการเจรจานำไปสู่การปฏิรูปประเทศให้เกิดขึ้นให้ได้ในวิถีประชาธิปไตย อันจะเป็นการนำพลังความขัดแย้งในรอบทศวรรษที่ผ่านมามาสู่การสร้างความเข้มแข็งในทุกมิติให้ประเทศ เป็นการทำให้ประเทศไทยก้าวขึ้นมาอีกระดับหนึ่งของพัฒนาการประชาธิปไตย
ผมคิดว่าน่าจะถึงเวลาที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องน่าจะได้มีการตั้งคำถามกับตัวเองอย่างจริงจังว่า
(1) ความขัดแย้งทีผ่านมาได้สร้างความเสียหายมหาศาลให้กับประเทศไทยมายาวนานและถึงเวลาแล้วที่เราต้องหาทางออกให้กับประเทศโดยร่วมกันนำเอาประเด็นการปฏิรูปประเทศมาเป็นประเด็นเริ่มต้นในการหาทางออกจากความขัดแย้งและ ความแตกแยกอย่างถาวรใช่หรือไม่
(2) เพื่อร่วมกันหาทางออกให้ประเทศไทย เราต้องการให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งเพื่อการปฏิรูป และรัฐบาลและรัฐสภาหลังการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นรัฐบาลและรัฐสภาที่มีภารกิจหลักเรื่องการปฏิรูป ก่อนที่เราจะมีการเลือกตั้งอีกครั้งภายใต้กติกาใหม่ซึ่งเป็นที่ยอมรับร่วมกันใช่หรือไม่
(3) หากเราไม่ใช้โอกาสนี้ในการแก้ปัญหาโดยแนวทางที่เป็นที่ยอมรับตามวิถีประชาธิปไตยประเทศไทยจะถลำเข้าสู่วงจรความขัดแย้งรอบใหม่ที่จะนำมาสู่ผลกระทบและความสูญเสียอย่างมหาศาลที่มีอาจมีผลกระทบที่ไม่อาจประมาณได้ต่อคนไทยในรุ่นต่อไปและยากยิ่งที่จะเยียวยาแก้ไขใช่หรือไม่
4. หากเห็นสอดคล้องกับผมว่าการปฏิรูป เป็นทางเลือก เป็นทางรอด และเป็นความหวังของประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ผมขอเรียกร้องให้คู่ขัดแย้งได้ให้โอกาสประเทศไทยก้าวข้ามวิกฤตช่วงนี้ไป โดยขอเสนอข้อพิจารณา 5 ประการดังนี้
4.1 ขอให้เลื่อนการเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2556 ออกไปเพื่อนำไปสู่ระยะเวลาที่เพียงพอในการหารือถึงกรอบแนวทางที่ชัดเจนที่จะทำให้การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นเป็นการเลือกตั้งที่นำไปสู่การปฏิรูปอย่างแท้จริง การเสนอให้เลื่อนการเลือกตั้งในครั้งนี้มิได้มองในประเด็นปัญหาอุปสรรคที่ทำให้การเลือกตั้งไม่สามารถเกิดขึ้นและนำไปสู่ความสมบูรณ์ของสภาผู้แทนราษฎรและความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นตามที่ กกต. ได้นำเสนอเพียงอย่างเดียว แต่คำนึงถึงเป้าหมายหลักว่าการเลือกตั้งจะนำไปสู่การปฏิรูปอันจะเป็นหนทางที่ทำให้ประเทศก้าวพ้นจากความขัดแย้งอันเป็นความต้องการร่วมกันของทุกฝ่ายหรือไม่ หากพิจารณาในแง่นี้น่าจะมีความจำเป็นที่จะต้องเลื่อนการเลือกตั้งออกไปก่อนเพื่อให้มีเวลาเพียงพอที่คู่ขัดแย้งจะได้ร่วมหารือกันใน “เวทีกลาง” เพื่อนำมาสู่การยอมรับในกรอบแนวทางการปฏิรูปและหลักประกันที่จะทำให้การปฏิรูปเกิดได้จริงหลังการเลือกตั้งร่วมกัน
4.2 การเลื่อนการเลือกตั้งในมุมมองดังกล่าวต้องนำมาสู่ข้อตกลงที่ทุกฝ่ายจะเข้าร่วมหารือกันใน “เวทีกลาง” ทุกฝ่ายในที่นี้ ได้แก่พรรคประชาธิปัตย์ กปปส. พรรคเพื่อไทย รัฐบาล นปช. พรรคการเมืองอื่นๆ ผู้เกี่ยวข้องที่เหมาะสม เช่น กลุ่มเครือข่ายปฏิรูป ตัวแทน ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม ภาคธุรกิจ ได้มาหารือร่วมกันถึงกรอบกว้างๆ ซึ่งอาจนำไปสู่การจัดตั้ง “คณะกรรมการ” หรือ “คณะทำงาน” ที่ได้รับการยอมรับที่มีหน้าที่ในการไปทำ Roadmap ที่ชัดเจนเรื่องการปฏิรูป ได้แก่ รูปแบบขององค์กร สถานะทางกฎหมายที่เป็นหลักประกัน ประเด็นการปฏิรูปและการทำให้มีผลผูกพัน การจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังของประเด็น รูปแบบของรัฐบาลเพื่อการปฏิรูปหลังการเลือกตั้ง เป็นต้น
การดำเนินการในแนวทางนี้องค์ประกอบที่เป็นสาระสำคัญที่สุดของความความสำเร็จในทัศนะของผมก็คือการสร้างหลักประกันเพียงพอที่จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคการเมืองใหญ่อีกพรรคหนึ่งเข้ามาร่วมการเลือกตั้งในครั้งนี้ และกปปส.ยอมยุติในการรวมพลังชั่วคราว แล้วปรับยุทธศาสตร์ไปสู่การสร้างมวลชนในการติดตามเฝ้าดูว่าการปฏิรูปซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องการร่วมกันของทุกคนเกิดขึ้นจริงหรือไม่
สำหรับประเด็นว่าใครควรจะเป็นเวทีกลางนั้นอาจมีได้หลายแนวทาง แต่ต้องนำมาสู่การยอมรับร่วมกัน เช่นอาจริเริ่มโดย กกต.เป็นเจ้าภาพ เชิญคู่ขัดแย้งและผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย เช่น องค์กรที่มีผลงานด้านปฏิรูปเป็นที่ประจักษ์ ตัวแทนภาคประชาสังคม ภาคธุรกิจ ภาควิชาการ ภาคราชการ เป็นต้น
4.3 หากทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าสมควรเลื่อนการเลือกตั้งออกไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง การเลื่อนการเลือกตั้งมีวิธีที่สามารถดำเนินการได้ตามกรอบของกฎหมาย ขณะนี้มีการให้ความสำคัญกับประเด็นเชิงเทคนิคกฎหมายเป็นอย่างมากจนบางครั้งทำให้เป้าหมายใหญ่คือการหาทางออกร่วมกันให้ประเทศถูกบดบังด้วยความเห็นทางกฎหมายที่ไม่ยืดหยุ่นอย่างน่าเสียดาย แน่นอนว่าความขัดแย้งที่ผ่านมาและบทบาทการตรวจสอบจากองค์กรต่างๆได้ทำให้ทุกฝ่ายได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมาและตัดสินใจในเชิงที่เสี่ยงน้อยที่สุด เพราะเกรงว่าการตัดสินใจทางกฎหมายที่ผิดพลาดอาจนำไปสู่การฟ้องร้องและผลกระทบทางการเมืองที่ตามมา จะเห็นว่าทางรัฐบาลเองก็มีผู้ให้สัมภาษณ์โดยตลอดว่าอำนาจในการตัดสินใจว่าควรดำเนินการอย่างไรเป็นของ กกต.เพราะเป็นเรื่องการเลือกตั้ง รัฐบาลไม่มีอำนาจหน้าที่ ในขณะที่กกต.ก็เสนอข้อมูลมาให้รัฐบาลพิจารณาตัดสินใจโดยมองว่ารัฐบาลเป็นผู้นำพระราชกฤษฎีกาขึ้นกราบบังคมทูลและรับสนองพระบรมราชโองการ ซึ่งอันที่จริงตัวอย่างในอดีตเคยมีการนำพระราชกฤษฎีกาเพื่อกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ขึ้นกราบบังคมทูลมาแล้ว แม้รายละเอียดจะไม่ตรงกันทีเดียว
นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 214 ก็ได้กำหนดช่องทางออกไว้ว่าในกรณีที่มี “ความขัดแย้งเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่” ระหว่างหน่วยงานเช่น รัฐสภา คณะรัฐมนตรี และ องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญเปิดช่องให้สามารถเสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยได้ ในกรณีนี้หากรัฐบาลโดยคณะรัฐมนตรีมีความเห็นอย่างเป็นทางการว่ารัฐบาลไม่มีอำนาจหน้าที่ในเรื่องนี้ ก็น่าจะเข้าลักษณะเกิดความขัดแย้งในเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างคณะรัฐมนตรีกับ กกต. ทางกกต.ก็น่าจะสามารถนำเรื่องเสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยได้
4.4 การกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ควรกำหนดกรอบเวลาประมาณ 90 ถึง 180 วัน นับจากกำหนดวันเลือกตั้งเดิม คือเร็วที่สุดที่จะสามารถหารือกันเพื่อกำหนดองค์กรเพื่อการปฏิรูปที่มีรูปแบบที่เป็นที่ยอมรับ กำหนดประเด็นหลักๆของการปฏิรูปพร้อมทั้งกรอบเวลาที่ชัดเจน กำหนดแนวทางและวิธีการที่จะทำให้ข้อเสนอการปฏิรูปผูกพันและเกิดขึ้นจริง กำหนดรูปแบบของรัฐบาลหลังการเลือกตั้งที่ต้องเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจเพื่อการปฏิรูป และมีอายุเท่าที่จำเป็นเพื่อทำหน้าที่นั้นโดยพรรคการเมืองทุกพรรคต้องตกลงร่วมกันก่อนการเลือกตั้ง เป็นต้น ในการคิดถึงระยะเวลาที่เหมาะสมอาจต้องคำนึงถึงระยะเวลาที่เพียงพอให้การทำประชามติถ้าจำเป็นคือกรอบเวลา 90 วันไว้ด้วย เพราะหากมีประเด็นที่ไม่สามารถตกลงกันได้ หรือมีประเด็นสำคัญที่ต้องการสอบถามความเห็นประชาชนก็สามารถใช้ช่วงเวลาของการเลือกตั้งที่กำหนดขึ้นใหม่เป็นโอกาสในการสอบถามประชาชนโดยประชามติในคราวเีดียวกันเลย
4.5 ประเด็นสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องกล่าวถึงให้ครบถ้วนคือเรื่องบทบาทของรัฐบาลรักษาการก่อนการเลือกตั้ง เพราะในท่ามกลางความขัดแย้งย่อมไม่อาจปฏิเสธได้ว่ารัฐบาลเป็นฝ่ายหนึ่งของคู่ขัดแย้ง รัฐบาลจึงต้องตระหนักว่าการคงอยู่ในบทบาทของรัฐบาลรักษาการย่อมนำมาสู่ความไม่ไว้วางใจของคู่ขัดแย้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการพิจารณาถึงการ “เลือกตั้ง” และ “การปฏิรูป” ซึ่งเป็นเรื่องของกรอบในอนาคตซึ่งต่างฝ่ายต่างเป็นคู่แข่ง คู่ขัดแย้ง และมีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง รัฐบาลจึงต้องดำเนินการทุกวิถีทางที่จะลดความไม่ไว้วางใจดังกล่าวนี้ ในสถานการณ์ของความขัดแย้งการดำเนินการที่นำไปสู่การสร้างความไว้วางใจและลดความขัดแย้งหากรัฐบาลสามารถโอนอ่อนได้มากเท่าใดก็จะยิ่งเป็นผลดีเท่านั้น แต่ประเด็นสำคัญเรื่องหนึ่งที่รัฐบาลควรเร่งดำเนินการโดยด่วนคือเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นเจ้าภาพการปฏิรูปไปสู่บทบาทของหนึ่งในผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholder) โดยปล่อยให้การกำหนดรายละเอียดในการดำเนินการและทิศทางการปฏิรูปเป็นเรื่องของเวทีกลางที่จะเกิดขึ้น
5. เมื่อมีโอกาสได้คุยกับเพื่อนๆชาวต่างประเทศถึงเรื่องปรากฏการณ์ประเทศไทยผมจะพยายามเล่าให้ฟังเสมอว่าการประท้วงบนท้องถนนและแสดงความเห็นทางการเมืองของประเทศไทยนั้นอาจจะแตกต่างจากที่เขาเข้าใจโดยมองเปรียบเทียบจากตัวอย่างในประเทศกำลังพัฒนาที่เขาเห็น ในความเห็นของผมขณะนี้ประเทศไทยกำลังอยู่ในจุดที่กำลังจะก้าวไปสู่การพัฒนาประชาธิปไตยในระดับที่สูงขึ้นอีกขั้นหนึ่ง เรากำลังจะก้าวพ้นการเป็นประเทศประชาธิปไตยโดยรูปแบบสู่ความเป็นประชาธิปไตยโดยเนื้อหาอย่างสมบูรณ์ เพราะหัวใจของระบอบประชาธิปไตยไม่ได้อยู่ที่รูปแบบของรัฐบาลหรือรัฐสภาที่ย่อมสามารถปรับเปลี่ยนไปได้ตามความเหมาะสม แต่อยู่ที่คุณภาพของประชาชนในประเทศนั้นว่ามีความเข้าใจ ความรัก และความหวงแหนในประชาธิปไตยแค่ไหน วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในรอบทศวรรษที่ผ่านมาแม้จะได้สร้างผลกระทบและความเสียหายมากมาย แต่ในแง่หนึ่งก็ได้ปลุกจิตสำนึกทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยให้กับคนไทยทั่วไประเทศ และด้วยคุณภาพของประชาชนคนไทยที่ได้เปลี่ยนสถานภาพของตนเองมาสู่ความเป็น “พลเมือง” ที่เป็น “พลังของบ้านเมือง” จุดสุดท้ายที่เราจะทำให้ ปรากฎการณ์ของประเทศไทยที่เริ่มต้นมายาวนานเกือบทศวรรษจบได้อย่างสวยงามเป็นตัวอย่างแก่ประเทศที่กำลังพัฒนาประชาธิปไตยทั่วโลก คือจะทำอย่างไรที่จะพัฒนาพลังแห่งความขัดแย้ง ความเกลียดชังเป็นพลังสร้างสรรค์ที่นำไปสู่การปฏิรูปประเทศเพื่อให้ประเทศไทยก้าวพ้นจากความขัดแย้งและก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
ภาพประกอบ:เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ