คุยกับทายาท ‘สมบูรณ์ วิรยศิริ’ ผู้สร้างตำนาน ‘มรดกของไทย’
สมัยก่อนการเดินทางท่องเที่ยวเป็นสิ่งที่ยากสำหรับคนไทย เพราะการเดินทางลำบาก ฉะนั้นการผลิตสารคดีเชิงท่องเที่ยวขึ้นจะทำให้คนเหนือรู้จักคนใต้ คนใต้ได้เห็นวิถีชีวิตคนหนองคาย หรือคนเชียงใหม่รู้จักสวนโมกข์
เมื่อนึกถึงรายการสารคดีเชิงท่องเที่ยวในยุคทีวีดิจิตอล เชื่อว่าหลายคนคงมีรายการในดวงใจที่ชื่นชอบ แต่หากย้อนกลับไปประมาณ 50 ปีที่ผ่านมา ยุคช่อง 4 บางขุนพรหม เมืองไทยถือกำเนิดรายการ ‘มรดกของไทย’ ซึ่งถือเป็นสารคดีเชิงท่องเที่ยวยุคบุกเบิกที่มีชื่อเสียงและครองใจผู้ชมยาวนานร่วม 10 ปี ถึงกับได้รับการยกย่องเป็นรายการที่มีบทโทรทัศน์และภาพเล่าเรื่องที่ดี
‘มรดกของไทย’ ถ่ายทำด้วยฟิล์มขาวดำ ขนาด 16 มม. ออกอากาศตั้งแต่ พ.ศ. 2505-2516 ทุกวันพุธเว้นพุธ ความยาว 30 นาที เน้นเนื้อหาเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงประเพณี วัฒนธรรม โบราณคดี ประดิษฐกรรมไทย ศิลปะ การแสดง บันทึกเหตุการณ์สำคัญ และอัตชีวประวัติ ผลิตโดยบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โดยมี ‘สมบูรณ์ วิรยศิริ’ รับหน้าที่ผู้กำกับและเขียนบทโทรทัศน์ และ ‘มานิตย์ รักษ์สุวรรณ’ รับหน้าที่ผู้บรรยายด้วยน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์และมีเสน่ห์
ในโอกาส 120 ปี เอสโซ่ (ประเทศไทย) 50 ปี ภาพยนตร์สารคดีชุด ‘มรดกของไทย’ และ 30 ปี หอภาพยนตร์ เราได้นั่งพูดคุยกับ ‘พรนิต วิรยศิริ’ บุตรชายของสมบูรณ์ วิรยศิริ ในฐานะผู้เคยอยู่เบื้องหลังการถ่ายทำรายการ เพื่อเล่าย้อนความทรงจำครั้งอดีตและความสำคัญของสารคดีชุดนี้ ณ โรงภาพยนตร์ศรีศาลายา
พรนิต บอกเล่าว่า คุณพ่อมีอาชีพเป็นผู้สื่อข่าวและนักประพันธ์ ทำให้มีข้อได้เปรียบในการรู้เห็นเหตุการณ์อย่างต่อเนื่อง และเอื้อประโยชน์ให้สามารถคัดเลือกเรื่องที่จะผลิตสารคดีได้ ซึ่งคุณพ่อจะเป็นผู้เขียนบทโทรทัศน์เพียงผู้เดียว
“ก่อนที่ผมจะเข้ามารับหน้าที่ต่อจากคุณพ่อ เบื้องต้นเป็นคนแบกขากล้องถ่ายทำมาก่อน ต่อมาจึงได้ศึกษาทฤษฎีการถ่ายภาพและตัดต่อเพิ่มเติม 2-3 ปี แล้วก็ทำงานมาตลอด” เขากล่าว และว่าปัจจุบันทุกครั้งที่ผมสอนเด็กใหม่จะคอยบอกเสมอว่าแม้จะเป็นเด็กแบกขากล้อง แต่ทุกครั้งที่ช่างกล้องถ่ายจุดไหนต้องรู้จักจดจำไว้ เพื่อจะได้นำทฤษฎีมาปฏิบัติ
พรนิต กล่าวถึงขั้นตอนการถ่ายทำว่า คุณพ่อจะเป็นผู้ประสานงานทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่เมื่อทราบสถานที่ก็จะลงพื้นที่ทันที เพื่อเก็บข้อมูล แต่ช่างกล้องต้องยืนฟังด้วย เพื่อจะได้เก็บภาพได้ถูกต้อง โดยเรามีทีมงาน 4-5 คน ออกเดินทางครั้งละตอน ด้วยสมัยก่อนการเดินทางใช้เวลานานและการสื่อสารลำบาก ฉะนั้นการไปครั้งเดียวและเก็บมาหลายตอนจึงเป็นไปได้ยาก
“อุปสรรคในการถ่ายทำสารคดีเชิงท่องเที่ยวมีไม่มาก ส่วนใหญ่เกี่ยวกับการรอคอยเวลา และการเดินทางที่ลำบาก”
พรนิต ยังอธิบายถึงการลงเสียงในสารคดีว่า เมื่อสารคดีตัดต่อเสร็จแล้ว หน้าห้องผู้บรรยายจะมีการวางแผ่นเสียงประกอบไว้ เมื่อผู้บรรยายลงเสียงก็ต้องเตรียมแผ่นให้พร้อม และใช้การโบกมือเป็นสัญญาณหลัก ทุกอย่างสดหมด ถึงขนาดบางครั้งก็ไม่มีการซ้อมอ่านบทมาก่อน ที่สำคัญ ไม่มีระบบการเซ็นเซอร์เนื้อหาเหมือนในปัจจุบัน ตัดต่อเทปรายการเสร็จ วันรุ่งขึ้นก็นำออกอากาศเลย เพราะเวลากระชั้นชิดมาก
ส่วนเทปรายการที่ประทับใจเป็นพิเศษ เขาตอบทันทีว่า ‘สวนโมกขพลาราม’ เพราะสมัยนั้นยังไม่มีถนนตัดผ่าน ทีมงานต้องนั่งโดยสารรถไฟลงสถานีไชยา ก่อนจะซ้อนท้ายจักรยานยนต์รับจ้าง เมื่อไปถึงก็ได้สัมผัสถึงความร่มรื่น ซึ่งภาพดังกล่าวยังไม่ค่อยได้รับการเผยแพร่มากนัก
“สมัยก่อนการเดินทางท่องเที่ยวเป็นสิ่งที่ยากสำหรับคนไทย เพราะการเดินทางลำบาก ฉะนั้นการผลิตสารคดีเชิงท่องเที่ยวขึ้นจะทำให้คนเหนือรู้จักคนใต้ คนใต้ได้เห็นวิถีชีวิตคนหนองคาย หรือคนเชียงใหม่รู้จักสวนโมกข์”
เมื่อถามถึงความแตกต่างสารคดีเชิงท่องเที่ยว พรนิต ระบุว่า สมัยก่อนจะเน้นการเล่าเรื่องด้วยภาพ แต่สารคดีปัจจุบันภาพมักไม่เล่าเรื่อง เพราะโชว์เฉพาะใบหน้าของผู้ดำเนินรายการ ซึ่งอาจจะเป็นกระแสก็ได้ อย่างไรก็ตาม สารคดีของต่างประเทศ เช่น บีบีซี ยังถ่ายทำโดยใช้ภาพเล่าเรื่องอยู่
ก่อนทิ้งท้ายว่า “การทำทีวียุคแรกไม่สับสนวุ่นวายเหมือนปัจจุบัน เพราะทุกคนรู้จักหน้าที่ตัวเอง”
**************************
ปัจจุบันบริษัท เอสโซ่ ได้มอบฟิล์มภาพยนตร์สารคดีชุด ‘มรดกของไทย’ จำนวน 341 ม้วน หรือ 190 เรื่อง ให้เข้ามาอยู่ในการอนุรักษ์ของหอภาพยนตร์ ทั้งนี้ เรื่อง ‘หลุมศพที่ลือไซต์’ หนึ่งในสารคดีดังกล่าวได้รับการขึ้นทะเบียนจากหอภาพยนตร์ให้เป็นมรดกของชาติอีกด้วย .
http://www.youtube.com/watch?v=7OO512upp5o
ภาพประกอบหลัก:หอภาพยนตร์