"อดีตผู้พิพากษา" ถาม-"อิศรา" ตอบ! ว่าด้วยปมใช้มือถือขณะรถติดไฟแดงผิดกม.
"..ผมเพียงเสนอความคิดเห็นทางกฎหมาย ไม่ได้มีเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย เพราะสามารถใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ขณะอยู่ในรถได้ตลอดเวลาเนื่องจากมีคนขับรถ ..ผมไม่เคยมีกรณีพิพาทกับสตช.หรือ ตร. ไม่เคยมีคดีพิพาทเรื่องนี้กันในศาล และศาลไม่เคยมีคำพิพากษา จึงไม่มีใครชนะหรือใครแพ้.."
ในช่วงค่ำวันที่ 2 สิงหาคม 2558 ที่ผ่านมา นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะศาลฎีกา ได้โพสต์แสดงความเห็นในเฟซบุ๊กส่วนตัว Chuchart Srisaeng ดังนี้
สำนักข่าวอิศราเสนอข่าวโดยพาดหัวข่าวว่า
"ตร." ชนะ "อดีตผู้พิพากษา" เมื่อกฤษฎีกาชี้ขาดใช้มือถือขณะรถติดไฟแดงผิด ก.ม.
ที่มาของข่าวดังกล่าวสืบเนื่องจากผมเคยโพสต์ให้ความเห็นเกี่ยวกับการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ในขณะขับขี่รถเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2557 โดยสรุปว่า
ถ้ารถไม่เคลื่อนที่คือจอดอยู่เฉยๆ ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดๆ เช่น รถเสีย จอดรอผู้ที่นัดกันไว้ จอดรอสัณญาณจราจร หรือการจราจรติดขัดจนต้องจอดอยู่กับที่ ย่อมไม่ใช่การขับขี่รถจึงไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒
ต่อมาทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือ สตช.ได้มีหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่ิอขอความเห็น ในเฉพาะประเด็นที่รถติดสัญญาณจราจรว่า ผู้ขับขี่รถสามารถใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ได้หรือไม่ ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า การใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ขณะรถติดสัญญาณไฟมีความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก เว้นแต่จะมีอุปกรณ์เสริมโดยไม่ต้องใช้มือจับหรือถือโทรศัพท์
ขอบอกผู้ที่อ่านข้อเขียนนี้โดยเฉพาะสำนักข่าวอิศราว่า
ผมเพียงเสนอความคิดเห็นทางกฎหมาย ไม่ได้มีเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย เพราะสามารถใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ขณะอยู่ในรถได้ตลอดเวลาเนื่องจากมีคนขับรถ
ผมไม่เคยมีกรณีพิพาทกับสตช.หรือ ตร. ไม่เคยมีคดีพิพาทเรื่องนี้กันในศาล และศาลไม่เคยมีคำพิพากษา จึงไม่มีใครชนะหรือใครแพ้
คณะกรรมการกฤษฎีกาไม่มีอำนาจตัดสินหรือชี้ขาดข้อพิพาทใดๆ มีหน้าที่เพียงให้ความเห็นทางกฎหมายแก่หน่วยงานของรัฐที่เป็นฝ่ายบริหารเท่านั้น การมีความเห็นต่างกันไม่ใช่เป็นการชี้ขาด และไม่ได้หมายความว่า ใครชนะหรือใครแพ้
ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา ไม่ใช่คำพิพากษาของศาล และศาลซึ่งเป็นฝ่ายตุลาการไม่จำเป็นต้องยึดถือตามเพราะไม่ใช่หน่วยงานราชการของฝ่ายบริหาร ทั้งเคยวินิจฉัยข้อกฎหมายแตกต่างกับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกามาแล้ว
หากมีกรณีนี้ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลก็ไม่แน่ว่า ศาลจะมีความเห็นดังเช่นความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาหรือไม่
อย่างไรก็ดีเมื่อศาลยังไม่ได้ชี้ขาด ผู้ขับขี่รถก็ไม่ควรใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ในขณะติดสัญญาณจราจร เว้นแต่จะมีอุปกรณ์เสริมโดยไม่ต้องใช้มือจับหรือถือโทรศัพท์
อดสงสัยไม่ได้ว่า การพาดหัวข่าวว่า ตร.ชนะ อดีตผู้พิพากษา เป็นการพาดหัวข่าวที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงหรือไม่ รวมทั้งการนำเอารูปผมไปประกอบข่าวทั้งๆ ที่ไม่มีความจำเป็น
เพราะมีเจตนาเยาะเย้ยถากถางอดีตผู้พิพากษาอย่างผมว่าโง่แพ้ตำรวจใช่หรือไม่ และนี่คือเสรีภาพในการเสนอข่าวที่สื่อสารมวลชนทั้งหลายต้องการใช่มั๊ย ?
-------------
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวอิศรา ได้นำเสนอรายงานข่าวเกี่ยวกับความเห็นทางกฎหมาย ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กรณีการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ในขณะหยุดรถตามสัญญาณจราจรสีแดง (ไฟแดง)
ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากกรณีที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ได้มีหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในช่วงกลางเดือนมีนาคม 2558 สรุปความได้ว่า มีอดีตผู้พิพากษาท่านหนึ่ง ได้ตั้งประเด็นในสังคมออนไลน์เกี่ยวกับการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ในขณะรถจอดติดสัญญาณไฟแดง โดยเห็นว่าไม่เป็นความผิดตามมาตรา 43 แห่ง พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ.2522
เนื่องจากความหมายตามพจนานุกรม คำว่า "การขับขี่" หมายความว่า สามารถบังคับเครื่องยนต์ให้ยานพาหนะเคลื่อนที่ไปได้ โดยอ้างว่าขณะรถติดสัญญาณไฟแดงรถไม่ได้เคลื่อนที่ จึงก่อให้เกิดปัญหาความเคลือบแคลงในทางกฎหมาย
และเมื่อ สตช. ได้สอบถามความเห็นของหน่วยงานในสังกัดแล้ว ปรากฎว่า ได้ความว่า การใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ขณะรถจอดติดสัญญาณไฟแดงโดยไม่มีอุปกรณ์สำหรับสนทนาเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ
เนื่องจากผู้ขับขี่รถ ถือว่าเป็นบุคคลผู้ใช้ทางเดินรถ มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายทั้งที่ เป็นข้อห้ามและข้อปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของกฎหมายนี้ มิใช่ตีความตามพจนานุกรม กรณีการจอดรถในขณะติดสัญญาณไฟแดง ยังถือว่า ผู้ขับขี่ ต้องควบคุมรถอยู่ตามกฎหมายจราจร และพร้อมที่จะขับเคลื่อนต่อไปเมื่อมีสัญญาณไฟเขียว ผู้ขับขี่จำเป็นต้องมีสติและสมาธิตลอดเวลาในการใช้มือทั้งสองข้างควบคุมรถ
สตช. จึงเห็นว่า เนื่องจากกรณีดังกล่าวยังไม่มีความชัดเจน อีกทั้งผู้ให้ความเห็นเป็น "อดีตผู้พิพากษา" จึงอาจเกิดปัญหาในทางปฏิบัติหากมีการจับกุมในกรณีดังกล่าว อันอาจทำให้เจ้าพนักงานถูกฟ้องร้องดำเนินดคี แต่หากไม่ดำเนินการใดๆ ก็อาจทำให้ผู้ใช้รถใช้ถนนเกิดความเคยชิน และอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้
สตช. จึงขอหารือตามรายละข้างต้นว่า การใช้โทรศัพ์เคลื่อนที่ในขณะหยุดรถตามสัญญาณจราจรไฟแดง เป็นความผิดตามมาตรา 43 (9) แห่งพ.ร.บ.จราจาทางบกฯ หรือไม่
เบื้องต้น คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 4) ได้เชิญตัวแทนผู้เกี่ยวข้องและพิจารณาข้อกฎหมายแล้ว มีความเห็น 2 ประเด็น ดังนี้
ประเด็นแรก ความหมายของการขับรถและการหยุดรถตามสัญญาณจราจรไฟสีแดง อยู่ในความหมายของการขับรถหรือไม่
คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้ว มีความเห็นว่าเจตนารมณ์ของพ.ร.บ.จราจร ทางบกฯ กำหนดให้ผู้ขับขี่ซึ่งควบคุมรถอยู่ในทางเดินรถ จะต้องปฏิบัติตามสัญญาณจราจรและเครื่องหมายจราจร ซึ่งรวมถึงการหยุดรถหลังเส้นให้รถหยุดเพื่อรอสัญญาณไฟจราจรด้วย
ดังนั้น การหยุดรถเพื่อรอสัญญาณไฟจราจร จึงเป็นเพียงการปฏิบัติตามเครื่องหมายจราจรเท่านั้น โดยผู้ขับขี่ยังต้องควบคุมรถและปฏิบัติตามสัญญาณไฟแดงเจรจรต่อไป การหยุดรถตามสัญญาณจราจรไฟสีแดงดังกล่าว จึงยังอยู่ในความหมายของการขับรถ
ประการสอง ขอยกเว้นการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ขณะขับรถ ตามที่บัญญัติไว้ใน (9) ของมาตรา 43
มาตรา 43 พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ บัญญัติห้ามมิให้ผู้ขับขี่รถในกรณีต่างๆ เช่น ขับรถในขณะหย่อนความสามารถในอันที่จะขับ ขับรถในขณะเมาสุรา ขับรถในลักษณะกีดขวางการจราจร ขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียว ฯลฯ, รวมทั้งในมาตรา 43 (9) กำหนดห้ามมิให้ผู้ขับขี่รถในขณะใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่
เว้นแต่การใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่โดยใช้อุปกรณ์เสริมสำหรับการสนทนา โดยผู้ขับขี่ไม่ต้องถือหรือจับโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งหากฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อห้ามดังกล่าว ก็จะต้องได้รับโทษปรับตั้งแต่ 400 บาท ถึง 1,000 บาท
ทั้งนี้ เนื่องจากการที่ผู้ขับขี่ถือหรือจับโทรศัพท์เคลื่อนที่ในขณะขับรถ ทำให้ผู้ขับขี่ต้องควบคุมการจับพวงมาลัยด้วยมือเพียงข้างเดียว ซึ่งมีโอกาศที่ผู้ขับขี่จะเสียการควบคุมและการบังคับรถได้ อันส่งผลให้ประสิทธิภาพ ในการขับรถลดลง และอาจทำให้เกิดการกีดขวางทางจราจรหรือทำให้การเจราจรติดขัด ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาจราจร และยังอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุทางถนนด้วย
ดังนั้น เพื่อเป็นการคุ้มครองความปลอดภับสำหรับผู้ใช้รถ จึงกำหนดห้ามผู้ขับขี่ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ในขณะขับรถ โดยกำหนดข้อยกเว้นไว้กรณีเดียว คือ กรณีการใช้งานโดยผ่านอุปกรณ์เสริมสำหรับการสนทนา โดยผู้ขับขี่ไม่ต้องถือหรือจับโทรศัพท์เคลื่อนที่นั้น
จากข้อพิจารณาทั้งสองประเด็นดังกล่าว คณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่า เมื่อความในมาตรา 43(4) กำหนดไว้ชัดเจนแล้วว่า ห้ามมิให้ผู้ขับขี่ขับรถในขณะใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ เว้นแต่การใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่โดยใช้อุปกรณ์เสริมสำหรับการสนทนาโดยผู้ขับขี่ไม่ต้องถือหรือจับโทรศัพท์เคลื่อนที่ด้วย
ย่อมแสดงให้เห็นได้ว่าบัญญัติดังกล่าวประสงค์จะห้ามการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ในขณะผู้ขับขี่ควบคุมรถอยู่ในทางเดินรถ ไม่ว่ารถดังกล่าวจะอยู่ในระหว่างการเคลื่อนที่หรืออยู่ระหว่างการหยุดรถตามสัญญาณจราจร โดยยกเว้นไว้เฉพาะการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่โดยใช้อุปกรณ์เสริมสำหรับการสนทนาโดยผู้ขับขี่ไม่ต้องถือหรือจับโทรศัพท์เคลื่อนที่เท่านั้น
ฉะนั้น การใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ ในขณะที่หยุดรถตามสัญญาณจราจรไฟสีแดงโดยไม่ใช้อุปกรณ์เสริมตามข้อยกเว้นดังกล่าง จึงเป็นการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ในระหว่างการขับรถ และเป็นความผิดตามมาตรา 43 (9) ซึ่งมีโทษตามมาตรา 157 แห่งพ.ร.บ.จราจรทางบท พ.ศ.2522
โดยให้ข้อมูลว่า อดีตผู้พิพากษา ที่โพสต์แสดงความเห็นเรื่องนี้ คือ นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะศาลฎีกา โดยได้โพสต์แสดงความเห็นในเฟซบุ๊กส่วนตัว Chuchart Srisaeng เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2557
ทั้งนี้ ในท้ายรายงานชิ้นนี้ ยังได้แนบบันทึกความเห็นทางกฎหมายฉบับเต็มไว้ด้วย ซึ่งมีการระบุถึงความเห็นทางกฎหมายระหว่าง สตช. และ นายชูชาติ ศรีแสง ไว้ครบถ้วน เพื่อให้สาธารณชนได้รับทราบข้อมูลที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
อ่านประกอบ : "ตร." ชนะ "อดีตผู้พิพากษา" เมื่อกฤษฎีกาชี้ขาดใช้มือถือขณะรถติดไฟแดงผิดกม.
(อ่านความเห็นกฤษฎีกาฉบับเต็มได้ที่นี่ http://web.krisdika.go.th/data/comment/comment2/2558/c2_1181_2558.tif)
ส่วนการพาดหัว โดยมีการใช้คำว่า "ชนะ" มาประกอบ ตั้งอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริงที่ว่า ความเห็นทางกฎหมายเรื่องการใช้โทรศัพท์มือถือระหว่างติดไฟแดง แบ่งออกเป็นสองฝ่าย ระหว่าง สตช. ที่เห็นว่าเป็นความผิด กับ นายชูชาติ ที่เห็นว่าไม่เป็นความผิด
ซึ่งความเห็นของทั้งสองฝ่าย สร้างความสับสนให้เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก จนหาข้อสรุปที่ชัดเจนไม่ได้
เห็นได้จากความเห็นของ สตช.ที่ระบุว่า "เนื่องจากกรณีดังกล่าวยังไม่มีความชัดเจน อีกทั้งผู้ให้ความเห็นเป็น "อดีตผู้พิพากษา" จึงอาจเกิดปัญหาในทางปฏิบัติหากมีการจับกุมในกรณีดังกล่าว อันอาจทำให้เจ้าพนักงานถูกฟ้องร้องดำเนินดคี แต่หากไม่ดำเนินการใดๆ ก็อาจทำให้ผู้ใช้รถใช้ถนนเกิดความเคยชิน และอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้"
ก่อนที่กฤษฎีกาจะชี้ขาดความเห็นทางกฎหมายในเรื่องนี้ออกดังกล่าว ซึ่งน่าจะช่วยทำให้สังคมมีความเข้าใจที่ชัดเจนต่อกรณีการปฏิบัติตามกฎหมายในเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น
มิได้มีเจตนา "เยาะเย้ยถากถางอดีตผู้พิพากษาอย่างผมว่าโง่แพ้ตำรวจ" ตามที่ นายชูชาติ ตั้งคำถามไว้แต่อย่างใด
เพราะวัตถุประสงค์หลักในการนำเสนอรายงานชิ้นนี้ ของ สำนักอิศรา คือ การให้ข้อมูลความเห็นทางกฎหมายที่เป็นประโยชน์ของประชาชนส่วนรวม ให้ตระหนักและรู้จักเคารพกฎปฏิบัติตามข้อกฎหมาย ไม่ใช่คำนึงแต่เรื่องความสะดวกสบายส่วนตัว จนสร้างความเดือนร้อนให้กับบุคคลอื่น
อันเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาจราจร และยังอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุทางถนน ที่นำมาซึ่งความสูญเสียทั้งชีวิตของตนเอง และผู้อื่น ก่อนถึงวัยและเวลาอันสมควร
เป็นการปฎิบัติหน้าที่ของ "สื่อมวลชน" ที่ให้ความสำคัญกับการมุ่งเน้นรักษาผลประโยชน์ของสาธารณะตามปกติ!
อย่างไรก็ตาม ถ้าการพาดหัวดังกล่าวสร้างความเข้าใจผิด และไม่สบายใจ ให้กับนายชูชาติ ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย