เส้นทางสู่การปฏิรูปประเทศ: หน้าต่างแห่งโอกาส เงื่อนไขและปัจจัยสู่ความสำเร็จ
เมื่อชุดข้อมูลคนละชุด การเจรจาสร้างความเข้าใจจึงเกิดขึ้น บนพื้นฐานของความเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน รับฟังชุดข้อมูล ชุดความเห็นที่แตกต่างกัน ในที่สุดได้ข้อยุติที่น่าพอใจ แม้เหลือ ๔ มาตราในร่างรัฐธรรมนูญ แต่เห็นเป้าหมาย ทิศทาง และสาระการปฏิรูปด้านต่างๆ ครบถ้วน
เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดมาก่อน หรือ เป็นเรื่องความบังเอิญที่ต้องมาทำการศึกษาเตรียมการจัดทำร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการปฏิรูปประเทศก่อนถึงเวลาอันควร
แต่ในทางพุทธศาสนา นั้น พระท่านว่าไม่มี “ความบังเอิญ” เพราะทั้งหลายทั้งปวงล้วนเป็นไปตามหลักอิทัปปัจจยตา ซึ่งเป็นกฎสูงสุดของธรรมชาติ เพราะ “สิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงเกิด” หรือ “เพราะมีสิ่งนี้ เป็นเหตุปัจจัย สิ่งนี้จึงมี”
ดังนั้น การศึกษาเตรียมการจัดทำร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการปฏิรูปประเทศ จึงไม่ใช่เหตุบังเอิญ หากเป็นเพราะจากเหตุปัจจัยที่ว่า หมวดปฏิรูปเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรม นั้น ถูกตัดทอนลงจากเดิมที่มีเนื้อหาสาระการปฏิรูป ๑๕ มาตรา ในร่างรัฐธรรมนูญ เหลือเพียง ๔ มาตรา อันที่จริงมีคำขอแก้ไขให้เหลือเพียง ๑ มาตรา ที่บัญญัติเฉพาะหัวข้อการปฏิรูปและกลไกที่จะมาทำการปฏิรูป
หากเป็นเช่นนั้น คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญคงไม่สามารถยืนยันต่อเพื่อนสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติได้ว่าจะเกิดการปฏิรูปในบ้านเมืองนี้ ที่สำคัญคือเราเรียกร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ว่า ฉบับปฏิรูป แต่มองกลับไม่เห็นทิศทาง และสาระของการปฏิรูป
ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ ในช่วงเกือบหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมาการเคลื่อนไหวเรียกร้องของพลเมืองกลุ่มต่างๆ ที่ต้องการเห็นการปฏิรูป ต้องการเห็นการเปลี่ยนใหญ่ของชาติบ้านเมือง ทั้งๆที่มีความเชื่อ ความคิดเห็นทางการเมืองต่างกันจะกลายเป็นเรื่องสูญเปล่า
สมาชิก สปช.รู้สึกชื่นชมและประทับใจเมื่อประธานสภาปฏิรูป ศ.เทียนฉาย กีระนันท์ ได้ตอบคำถามที่คม ชัด และลุ่มลึก เมื่อถูก นายสุทธิชัย หยุ่น ถามบนเวทีเปลี่ยนประเทศไทยกับ สปช. เมื่อ ๑๓ สิงหาคม ที่ผ่านมา ความตอนหนึ่งมีว่า “สมาชิกรู้ว่า เราฉีกใบสั่งคำร้องไปกี่ใบ” ท่านประธานเทียนฉายตอบอย่างเข้าใจและสร้างสรรค์ ท่านจึงพูดต่อว่า “ผู้บริหารรัฏฐาธิปัตย์ มีชุดข้อมูล ชุดความเห็น ชุดหนึ่ง สปช.มีอีกชุดหนึ่ง ความไม่เข้าใจกันจึงมี แต่ได้รีบทำความเข้าใจ”
เช่นเดียวกันกับในคำขอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญบางคำขอต้องการให้บัญญัติการปฏิรูปเหลือเพียงหนึ่งมาตราในหมวดปฏิรูปเพื่อลดความเหลื่อมล้ำฯ ที่เดิมบัญญัติไว้ถึง ๑๕ มาตราเพราะมีข้อมูลคนละชุด กับคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งล้วนมีเหตุผลความจำเป็นอย่างสมเหตุสมผลทั้งสิ้น ฝ่ายหนึ่งมองว่า หากไปกำหนดว่าการปฏิรูปบางด้านจะต้องเร่งรัดดำเนินการภายในหนึ่งปี เกรงว่าจะทำให้ฝ่ายที่ยังไม่เห็นความจำเป็นของการปฏิรูปด้านนั้นๆ ไม่พอใจ รวมทั้งการปฏิรูปบางด้านอาจจุดชนวนให้เกิดความแตกแยกในบ้านเมืองต่อไปได้
นอกจากนี้ การกำหนดให้เกิดองค์กร หน่วยงานอีกจำนวนมากเพื่อมาทำหน้าที่ปฏิรูป จะนำไปสู่ภาระงบประมาณของรัฐบาลหน้าที่จะมารับช่วงต่อ ทั้งหมดที่ให้เหตุผลประกอบคำขอแก้ไข มีความจริงอยู่ไม่น้อย
การเจรจาจึงเกิดขึ้น เพื่อความเข้าใจร่วมกัน
ในเอกสารหรือตำราว่าด้วยการเจรจาต่อรอง ไม่มีเอกสารหรือตำราใดที่ไม่กล่าวอ้างถึง อดีตประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคเนดี้ ที่ได้เคยกล่าวไว้ว่า
“จงอย่าเจรจาด้วยความกลัว. แต่จงอย่ากลัวที่จะเจรจา.”
“Let us never negotiate out of fear. But let us never fear to negotiate.”
- John F. Kennedy
เมื่อชุดข้อมูลคนละชุด การเจรจาสร้างความเข้าใจจึงเกิดขึ้น บนพื้นฐานของความเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน รับฟังชุดข้อมูล ชุดความเห็นที่แตกต่างกัน ในที่สุด ได้ข้อยุติที่น่าพอใจ
แม้เหลือ ๔ มาตราในร่างรัฐธรรมนูญ แต่เห็นเป้าหมาย ทิศทาง และสาระการปฏิรูปด้านต่างๆ ครบถ้วน อีกทั้งได้เพิ่มประเด็นการปฏิรูปจากเดิม ๑๕ ด้านเป็น ๑๗ ด้าน โดยได้เพิ่มการปฏิรูปด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบและ ปฏิรูปด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ตามข้อเสนอของประธานกรรมาธิการปฏิรูปทั้ง ๒ ชุด (ประมนต์ สุธีวงศ์, สารี อ๋องสมหวัง)
บทบัญญัติในร่างรัฐธรรมนูญ ๔ มาตรา คือ ๔ กลุ่มการปฏิรูป ๑๗ ด้านปฏิรูป ได้แก่(ดูในภาคผนวก: เอกสารประกอบหมายเลข ๑)
๑. การเมือง การปกครอง และกระบวนการยุติธรรม
๒. สังคมและวัฒนธรรม
๓. เศรษฐกิจ
๔. ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
แม้กระนั้นก็ตาม จาก ๔ มาตรา ๑๗ ประเด็นปฏิรูป คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญยังได้เขียนบันทึกเจตนารมณ์ในการปฏิรูป ๑๗ ด้านเพื่อความชัดเจนยิ่งขึ้น แต่เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการปฏิรูปประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ศาสตราจารย์ บวรศักดิ์ อุวรรณโณและรองประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ คนที่หก นายแพทย์ชูชัย ศุภวงศ์ ได้ขอหารือในที่ประชุมวิปของสปช.ที่ประกอบด้วยประธานกรรมาธิการปฏิรูป ของ สปช. 18 คณะ จึงได้ข้อสรุปว่าให้จัดตั้งกลไกมาทำการศึกษาเตรียมการจัดทำร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการปฏิรูปประเทศ
คณะอนุกรรมาธิการศึกษาเตรียมการจัดทำร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการปฏิรูปประเทศโดยประกาศของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ(ดูในภาคผนวก: เอกสารประกอบหมายเลข ๒) จึงได้ถือกำเนิด โดยมีองค์ประกอบจากกรรมาธิการยกร่างฯ ๘ ท่าน(กรรมาธิการยกร่างฯ ๘ ท่าน ในจำนวนนี้เป็นสมาชิก สปช. ๗ ท่าน) จากผู้แทนกรรมาธิการปฏิรูป ๑๘ คณะ จำนวน ๑๘ ท่าน ทั้งนี้เพื่อความมั่นใจว่า การปฏิรูปที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเป็นไปตามเจตนารมณ์ของสปช.
คณะอนุกรรมาธิการศึกษาเตรียมการจัดทำร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการปฏิรูปประเทศ ได้ประชุมร่วมกัน ๑๑ ครั้ง จึงได้เอกสารศึกษาเตรียมการในรูปแบบร่างพระราชบัญญัติฯดังที่ปรากฏ(ดูในภาคผนวก: เอกสารประกอบหมายเลข ๓) โดยที่ก่อนหน้านี้คณะอนุกรรมาธิการพิจารณากรอบการจัดทำรัฐธรรมนูญ คณะที่ ๙ ใน คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญได้ทำงานร่วมกันกับคณะกรรมาธิการปฏิรูป ๑๘ คณะมาเป็นเวลา ๔ - ๕ เดือน เพื่อบัญญัติปฏิรูปด้านต่างๆ ใน ๑๕ มาตราของหมวดปฏิรูปฯดังที่ทราบกันแล้ว
สำหรับโครงสร้างของการปฏิรูป ตามเอกสารศึกษาเตรียมการฯ ได้แบ่งออกเป็น ๔ หมวด ดังนี้
หมวด ๑การเมืองการปกครองและกระบวนการยุติธรรม
ส่วนที่ ๑ การปฏิรูปด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
ส่วนที่ ๒ การปฏิรูปด้านการบริหารราชการแผ่นดิน
ส่วนที่ ๓ การปฏิรูปด้านการบริหารท้องถิ่น
ส่วนที่ ๔ การปฏิรูปด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ
ส่วนที่ ๕ การปฏิรูปด้านการเรียนรู้และการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน
หมวด ๒สังคมและวัฒนธรรม
ส่วนที่ ๑ การปฏิรูปด้านการศึกษา
ส่วนที่ ๒ การปฏิรูปด้านสาธารณสุข
ส่วนที่ ๓ การปฏิรูปด้านสังคม
ส่วนที่ ๔ การปฏิรูปด้านศิลปวัฒนธรรมและศาสนา
ส่วนที่ ๕ การปฏิรูปด้านการคุ้มครองผู้บริโภค
ส่วนที่ ๖ การปฏิรูปด้านสื่อสารมวลชนและเทคโนโลยีสารสนเทศ
ส่วนที่ ๗ การปฏิรูปด้านแรงงาน
ส่วนที่ ๘ การปฏิรูปด้านการกีฬา
หมวด ๓เศรษฐกิจ
ส่วนที่ ๑ การปฏิรูปด้านขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ส่วนที่ ๒ การปฏิรูปด้านการขจัดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ
ส่วนที่ ๓ การปฏิรูปด้านวินัยและเสถียรภาพการเงินการคลังของประเทศ
หมวด ๔ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ส่วนที่ ๑ การปฏิรูปด้านการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และการผังเมือง
ส่วนที่ ๒ การปฏิรูปด้านพลังงาน
ส่วนที่ ๓ การปฏิรูปด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัย และนวัตกรรม
เมื่อได้ทำการศึกษาเตรียมการจัดทำในรูปแบบของร่างพระราชบัญญัติรัฐธรรมนูญว่าด้วยการปฏิรูปประเทศ แล้ว จึงได้นำเสนอต่อสภาปฏิรูปแห่งชาติ เมื่อวันอังคารที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๘ ปรากฎว่ามีสมาชิก ๒๐ ท่าน อภิปรายความเห็นเพิ่มเติม ตั้งข้อสังเกต โดยไม่มีการลงมติ เพราะอยู่เป็นกระบวนการศึกษาเตรียมการ จึงได้รวบรวมข้อคิดเห็นและข้อสังเกตของสมาชิกเพื่อนำไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป
สปช.และกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ:ร่วมกันสร้างเครื่องมือในการปฏิรูป
อาจกล่าวได้ว่า ในช่วงหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา ได้มีการสะสมองค์ความรู้ด้านต่างๆเอาไว้พอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป ที่มีศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ วะสี เป็นประธาน และคณะกรรมการปฏิรูป ที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน
รวมทั้ง จากข้อเรียกร้องของพลเมืองกลุ่มต่างๆ เมื่อมีการจัดตั้งสภาปฏิรูปแห่งชาติขึ้น จึงได้รวบรวมองค์ความรู้เหล่านี้มาต่อยอด มาศึกษาพัฒนาเพิ่มเติม รวมทั้งสร้างขึ้นใหม่ จนครบถ้วนรอบด้านมากยิ่งขึ้น ในบางด้านการปฏิรูป มีองค์ความรู้มากพอที่สามารถสังเคราะห์เป็นเครื่องมือในการปฏิรูปด้านนั้นได้เลยโดยไม่ต้องรอรัฐบาลใหม่
สรุปผลงานร่วมกันของสปช.และคณะกรรมาธิการยกร่างรธน.มีดังนี้
๑. บทบัญญัติ ๔ มาตรา(มาตรา ๒๖๔, ๒๖๕, ๒๖๖ และ๒๖๗) หมวดปฏิรูปเพื่อลดความเหลื่อมล้ำฯในร่างรัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูป ประกอบด้วยสาระการปฏิรูป ๑๗ ด้าน
๒. บันทึกเจตนารมณ์ ตามข้อ๑
๓. เอกสารศึกษาเตรียมการจัดทำร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการปฏิรูปประเทศ
๔. เอกสารบันทึกการประชุมของสปช.เมื่อวันอังคารที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๘ สรุปข้อคิดเห็นและข้อสังเกต ของสมาชิกสปช.ที่มีต่อเอกสารศึกษาเตรียมการจัดทำร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการปฏิรูปประเทศ
มั่นใจได้อย่างไรว่าเกิดการปฏิรูปได้จริงตามบทบัญญัติ
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูปนี้ ได้กำหนดให้เกิดความรับผิดชอบต่อการปฏิรูป แตกต่างจากรัฐธรรมนูญทุกฉบับที่ผ่านมา ดังนี้
มาตรา ๒๕๗ บทบัญญัติในภาคนี้ก่อให้เกิดความรับผิดชอบแก่รัฐสภา คณะรัฐมนตรี หน่วยงานของรัฐทุกหน่วยงาน และประชาชน ที่ต้องจัดให้มีการปฏิรูปและการสร้างความปรองดองตามหลักการที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญนี้และตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการนั้น
ให้ดำเนินการตามยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการสร้างความปรองดองของคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ และข้อเสนอการปฏิรูปของสภาปฏิรูปแห่งชาติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ซึ่งคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติได้ให้ความเห็นชอบ
ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี หรือคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา นายกรัฐมนตรี หรือประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ เสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย
ดังนั้นเมื่อกำหนดให้เป็นความรับผิดชอบ จึงก่อให้เกิดหน้าที่ หากละเลยหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ สามารถที่จะดำเนินการตามกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมได้
บันทึกเจตนารมณ์: รัฐธรรมนูญฉบับขยายความ
บันทึกเจตนารมณ์ได้จัดทำขึ้นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญ พ.ศ ๒๕๕๐ แต่ไม่สามารถทำคู่ขนานร่วมกันกับกระบวนการร่างในแต่ละมาตรา อีกทั้งยังไม่สามารถทำให้แล้วเสร็จพร้อมกับร่างรัฐธรรมนูญ สำหรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูปนี้ได้ให้ความสำคัญต่อการจัดทำบันทึกเจตนารมณ์ โดยได้จัดตั้งกลไกจัดทำบันทึกเจตนารมณ์ และจดหมายเหตุ ตั้งแต่เริ่มต้นการร่างรัฐธรรมนูญ และจัดทำจนแล้วเสร็จพร้อมกันกับร่างรัฐธรรมนูญ
นอกจากนี้ยังเป็นครั้งแรกที่ได้บัญญัติให้บันทึกเจตนารมณ์มีผลในการจัดทำและในการวินิจฉัยเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญและร่างพระราชบัญญัติ ตามมาตรา ๒๗๖ วรรคสอง ดังนี้
".. ให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญจัดส่งเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญไปพร้อมกับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญและร่างพระราชบัญญัติตามวรรคหนึ่ง ด้วย และให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา รัฐสภา และศาล ใช้เจตนารมณ์ดังกล่าวในการจัดทำและในการวินิจฉัยเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญและร่างพระราชบัญญัตินั้น
ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญและร่างพระราชบัญญัติตามวรรคหนึ่ง ให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญและร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว โดยในคณะกรรมาธิการวิสามัญนั้นต้องประกอบด้วยบุคคลซึ่งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญกำหนดไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งร่วมเป็นกรรมาธิการด้วย.."
เส้นทางสู่การปฏิรูปประเทศ: หน้าต่างแห่งโอกาส เงื่อนไขและปัจจัยสู่ความสำเร็จ
การปฏิรูปครั้งแรกในแผ่นดินสยามสมัยล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ ในครั้งนั้นเกิดจากวิสัยทัศน์ของผู้นำชาติ หากครั้งนี้สามารถปฏิรูปได้สำเร็จน่าจะเกิดจากปัจจัยที่สำคัญ ห้าประการด้วยกัน คือ
ประการแรก ในช่วงหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา ได้มีการสะสมองค์ความรู้การปฏิรูปด้านต่างๆ และทางสปช.ได้นำมาต่อยอด พัฒนาและสร้างความรู้เพิ่มอย่างครบถ้วนและรอบด้านมากขึ้น
ประการที่สอง ทางสปช.ได้นำความรู้มาสังเคราะห์จนได้เครื่องมือการปฏิรูปด้านต่างๆ ซึ่งในบางด้านมีความพร้อมที่จะดำเนินการปฏิรูปไปได้โดยไม่ต้องรอรัฐบาลหน้า
ประการที่สาม ที่ผ่านมาพลเมืองหลายล้านคนทั่วประเทศมีความตื่นตัวถึงขนาด เพราะแม้ว่าความคิดเห็นทางการเมืองต่างกัน แต่ต้องการเห็นการปฏิรูป ต้องการเห็นการเปลี่ยนใหญ่ที่ดีขึ้นของชาติบ้านเมืองเช่นเดียวกัน
ประการที่สี่ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูป ได้กำหนดให้มีสมัชชาพลเมืองเป็นเวทีสาธารณะในระดับพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อให้พลเมืองมาปรึกษาหารือร่วมกันในการพัฒนาหรือปฏิรูปในระดับพื้นที่หรือระดับชาติ โดยการสนับสนุนขององค์กรบริหารท้องถิ่น จะทำให้อัตราเร่งของการพัฒนาหรือการปฏิรูปดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ประการสุดท้าย การกำหนดให้มีคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ ที่จะเป็นหลักประกันในการปฏิรูปเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมและความปรองดอง อย่างไรก็ตามคณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯเป็นกลไกที่ออกแบบขึ้นมาในสถานการณ์พิเศษ และอยู่ในช่วงเวลาห้าปี ทั้งนี้ต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชนทั่วประเทศด้วยการทำประชามติก่อน จึงสามารถดำเนินการได้ หากประชาชนไม่ให้ความเห็นชอบ ก็ไม่สามารถใช้กลไกดังกล่าวได้
ด้วยเหตุปัจจัยดังกล่าวแล้วข้างต้น อาจกล่าวได้ว่า หน้าต่างแห่งโอกาสได้เปิดแล้ว หากพลเมืองไทยจากฐานล่างและทุกภาคส่วนในสังคมร่วมกันอย่างเข้มแข็ง เราจะสามารถปฏิรูปแผ่นดินสยามให้น่าอยู่น่าอาศัยที่สุดแห่งหนึ่งบนโลกใบนี้ได้ในอนาคตอันใกล้นี้.-
นพ.ชูชัย ศุภวงศ์ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ
ประธานอนุกรรมาธิการศึกษาเตรียมการจัดทำร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการปฏิรูปประเทศ
รองประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ คนที่หก