"บุฟเฟ่ต์ : มายาคติ(การกิน)ของชนชั้นกลาง
คุณเคยไปกินบุฟเฟ่ต์ไหม? ผมเคยไปกินหลายครั้ง และทุกครั้งก็กลับออกมาด้วยความรู้สึกเดียวกันคือ "คำถามที่ว่าไปกินทำไม" ทั้งๆ ที่ท้องอิ่มจนจะแตกตายด้วยความตะกละ
เดี๋ยวนี้ร้านค้าสรรพสินค้ามากมายเต็มไปด้วยร้านอาหารแบบสะดวกซื้อสะดวกทานโดยเฉพาะห้างสรรพสินค้า สถานที่ยอดฮิตของชนชั้นกลางที่มีเอาไว้พักผ่อนหย่อนใจและฆ่าเวลา
บุฟเฟ่ต์ในห้างและโรงแรมผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ด้วยเมนู รสชาติอาหารมากมายแสนแพง ตั้งแต่ระดับกลาง 500-700 บาท และหรือระดับล่างเช่นหมูกระทะ 199-300 บาท
ราคานี้ได้ถูกผนวกเอาราคาค่าเช่าที่และค่าโฆษณาการตลาดบวกค่าแรง ค่าแบรนด์ ค่ากำไรเอาไว้หมดแล้ว
ข้อดีของอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ในทางเศรษฐศาสตร์คือ การไม่มีส่วนต่างส่วนเสียจากอาหารที่เหลือทิ้งจากการสั่งแล้วทานไม่หมด บวกกับ การประเมินค่าส่วนต่างของต้นทุนอาหาร ซึ่งเป็นราคากลาง เปรียบเทียบกับคนที่ทานได้มากที่สุด กับคนที่ทานได้น้อยที่สุด ซึ่งคูณด้วยจำนวนลูกค้าที่คาดการณ์ว่าจะเข้าร้านต่อวัน
หาค่าที่คำนวณได้ ออกมามากกว่าต้นทุนทุกๆ อย่างแล้วละก็ คุณก็เปิดร้านอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ได้
นอกจากนี้แล้ว บุฟเฟ่ต์ยังสะดวกสำหรับการจัดการ เพราะต่างตน ต่างเวลา ต่างใจ ต่างรสนิยม ร้านอาหารก็ยังเปิดพื้นที่ให้คุณได้ปรุงแต่งน้ำจิ้ม ซอสปรุงรส น้ำซุป ได้ตามใจชอบ หรือให้คุณกำหนดปริมาณได้เอง
สะดวกสำหรับร้านอาหาร เพราะไม่ต้องปรุงแต่งอะไรมาก แค่เอาวัตถุดิบไปจัดวาง ลูกค้าก็จะหยิบไปทานเอง ไปปรุงเองด้วยซ้ำ
ไม่ต้องมีเด็กเสิร์ฟอาหารแต่ละจาน ไม่ต้องมีติชมลุกค้า ไม่ต้องมีเผ็ดมาก เผ็ดน้อย สุกมาก สุกน้อย เพราะทุกคนกินรสชาติอาหารจากความสุกดิบได้ด้วยการกำหนดของตัวเอง
บุฟเฟ่ต์จึงพึ่งพิงระบบบริการตนเอง ที่ๆ ทุกคนต้องบริหารตัวเอง
แนวคิดของบุฟเฟ่ต์ คือ "all you can eat" ทั้งหมดที่คุณสามารถทานไปได้
ผมอธิบายในทางสังคมวิทยาหน่อย เรื่องการกินกับตัวตนและสังคม
มนุษย์จะคิดว่าการเลือกทานบุฟเฟ่ต์นั้น สอดคล้องกับวิถีชีวิตและลัทธิปัจเจกชนนิยมอย่างตรงไปตรงมา เพราะใครๆ ก็สามารถเลือกทานในสิ่งที่ตนเองต้องการทานได้อย่างเต็มที่
นึกถึงบุฟเฟ่ต์แต่ก่อน คือ การกินข้าววัดที่วันในวันทำบุญ โดยเฉพาะหลังพระสวดเพลแล้ว กับข้าวที่วางอยู่บนลานวัดนั้นคือบุฟเฟ่ต์คนชนบท ที่ๆ ทุกคนเอากับข้าวมาแบ่งกันทาน มากมายจนไม่รู้ว่าจะทานอะไร ทานอันไหนก่อนดี
ตอนนั้น ก็เหมือนกินบุฟเฟ่ต์คนบ้านๆ ชาวชนบทหละครับ
แต่ก็กินอิ่มด้วยความรู้สึกว่า "อร่อยและมีความสุข" แตกต่างจากการกินบุฟเฟ่ต์ในเมือง ที่คิดเพียงเรื่องเดียว คือ "คุ้มไม่คุ้ม"
เพราะบุฟเฟ่ต์เมืองนั้นแปลกและแตกต่างออกไป
มันอยู่บนแนวคิดที่ว่า ใครใครกินมาก อยากมาก ก็ทานมาก ใครอยากน้อย ก็ทานน้อย
บุฟเฟ่ต์ทำให้คนตะกละทานมากเป็นคนดูฉลาดและคุ้มค่า
และมันทำให้คนทานน้อยพอดีท้องกลายเป็นคนโง่ เพราะไม่คุ้มค่า
บุฟเฟ่ต์ต่อรองกับคนทั้งคณะ เป็นแบบประชาธิปไตย รักษาสิทธิ์ เพราะเราทุกคนจ่ายเท่ากัน มีสิทธิ ชอบธรรมเท่ากัที่จะเข้าถึงอาหารแต่ละเมนูในร้าน
ทุกคนต้องปกป้องพิทักษ์สิทธิแห่งความหิวและการกินโดยเท่าเทียม ภายใต้เวลา เมนูที่มีให้เลือก และรสชาติอาหารที่คุณจะสามารถปรุงแต่งได้นิดหน่อย
ในทางการเมือง บุฟเฟ่ต์คือระบอบประชาธิปไตย แบบทุนนิยมเสรีโดยแท้จริง เพราะมันเอื้อให้เราทานอาหารแบบมือใครยาว (ท้องใครกว้าง) ก็สาวได้สาวเอา(ลงพุง) ว่าไปแล้ว การกินบุฟเฟ่ต์ มันก็เหมือนระบอบประชาธิปไตย คือ “กินเพื่อกู กินของกู และกินโดยกู” อย่างอื่นกูไม่สนใจ!
พูดให้หยาบอีกนิด คือ ตะกละได้อย่างอารยะธรรม
ผมสังเกตว่า คนที่เข้าไปทานบุฟเฟ่ต์ส่วนใหญ่นั้น เป็นชนชั้นกลาง ทำงานออฟฟิศ มนุษย์เงินเดือน หรือมีอาชีพรับจ้าง อาจมีบ้างที่เป็นเจ้าของบริษัทหรือผู้นำองค์กร แต่ก็มีเป็นส่วนน้อย เหตุผลกลใดละครับ?
ก็เพราะผู้มีอันจะกินอยู่นั้น กินแบบนี้อยู่เป็นอาจิณ พวกเขากินเพื่อเข้าสังคม กินเพื่อเจรจาธุรกิจ กินเพื่อสถานะและรสนิยมทางสังคม กินเพื่อหน้าตาและสถานภาพ ขณะที่คนชนชั้นกลางนั้นคิดแต่เรื่องหากิน และคุ้มหรือไม่?
ตอนที่คุณกินบุฟเฟ่ต์ คุณจะคิดว่า 1. คุณจะกินได้ไม่อั้น ไม่มีที่สิ้นสุด ได้กินทุกๆ อย่าง 2. คุณจะหลงติดกับดัก ว่าคุณได้หลายอย่าง ทั้งๆ ที่คุณก็เลือกกินอย่างที่คุณชอบ และ ใช่ คุณคิดว่าได้มากมาย อย่างอิสระ ทั้งๆ ที่จริง เขาเลือก จัด วาง กำหนดมาให้คุณ 3. ทว่า ความเป็นจริงก็คือ สิ่งที่จำกัดตัวคุณ คือ เมนูจากทางร้าน เวลา และจากคุณ คือ ขนาดอันจำกัดของกระเพาะคุณ 4. บุฟเฟ่ต์เป็นอาหารในความฝันของชนชั้นกรรมาชีพ ชนชั้นมนุษย์เงินเดือน ลูกจ้าง คนจน ขายแรงงาน ที่ไม่เคยได้ลิ้มรสความฝันของชนชั้นสูงที่กินอย่างอิ่มหมีพีมันในทุกๆ มื้อ
อย่าลืมคติของการกินบุฟเฟ่ต์นั้นคือ การกินได้อย่างไม่อั้น ไม่ยั้ง! ดังนั้นจุดขายของเมนูบุฟเฟ่ต์จึงเป็นการเน้นความคุ้มค่า เช่น มา 4 จ่าย 3 หรือ มา 3 จ่าย 2 เป็นต้น
สุดยอดความฝันของการกินบุฟเฟ่ต์คือ กินอะไรก็ได้อย่างไม่ต้องจำกัดและคิดถึงราคา
ขณะที่กิน พนักงานคิดเงิน จะเอาบิลมาให้คุณในพลันที่ผ่านไป 15 นาที หลังจากนั้น อีก 1 ชั่วโมง 45 นาที คุณจึงมีเวลาที่จะกินให้คุ้ม
การกินอย่างอิ่มหมีพีมัน ของชนชั้นสูง (เช่น อาหารหรู ๆ ดีๆ แปลกๆ อย่างจัดวางด้วยความสวยงาม อย่างไม่จำกัดจำเขี่ยนเหมือนคนจนๆ นั้น) คือภาพความฝันของคนไปกินบุฟเฟ่ต์
ลึกๆ แล้วพวกเขาแค่อยากจะลิ้มรสความฝันแบบกินอย่างราชา อร่อยแบบโอชะ อาหารเต็มโต๊ะแบบผู้มั่งคั่ง ทั้งๆ ที่ในชีวิตจริง พวกเขาไม่สามารถทำได้ เพราะในชีวิตจริง พวกเขา "อยู่อย่างปากกัดตีนถีบ" หรือ "อดมื้อกินมือ" หรือ "หาเช้ากินค่ำ" หรือ "ข้าวสารกรอกหม้อ" ฯลฯ เหล่านี้ คือ "ความจริงที่เขาเผชิญอยู่ทุกวันอย่างสิ้นหวัง"
การกินบุฟเฟ่ต์ ของชนชั้นกลาง จึงเสมือนการกินความหมายของอาหารชั้นหรู คือการตอบสนองความฝันจอมปลอมของความมั่งคั่ง
เราเข้าไปกินอย่างราชาสักครั้งในหนึ่งเดือน เพื่อที่จะอยู่อย่างอดอยากอีกหนึ่งเดือนจนกว่าเงินค่าแรงชนชั้นแรงงานกรรมาชีพจะออกในปลายเดือนเพื่อระงับความหิวโซอีกต่อไป
บุฟเฟ่ต์ มันคือ "ความฝันที่ว่าสักวันเราจะกินแบบไม่ต้องคำนึงถึงราคาที่จะต้องจ่าย -- เอาให้อิ่มไปอย่างเต็มที่"
มายาคติของอาหารบุฟเฟ่ต์ จึงคือ "ความฝันว่าเราจะกินอย่างอุดมสมบูรณ์ ไม่ต้องคำนึงถึงเงินตรา ราคาค่างวดของอาหารที่จ่ายไป เราอย่างจะมีภาพชีวิตของคนรวย ชนชั้นสูง ความมั่งคั่ง" แม้สักครั้งในหนึ่งวันของหนึ่งเดือนก็ยังดี
ลึกไปกว่านั้น เรากิน "อุดมคติของความไม่อดอยากปากแห้ง กินความอุดมสมบูรณ์ให้มากที่สุดเท่าที่ท้องเราจะกักเก็บมันเอาไว้ได้ เสมือนกับว่า เราจะไม่ต้องหิวอีกต่อไป และเราจะไม่มีวันอดอยากหิวโซอีกต่อไป และเราอยากจะคงความอิ่มนั้นไว้ตลอดกาล เพราะเรากลัวว่า เราจะไม่มีกิน"
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว เรากิน มื้อเดียวเท่ากับกระเพาะหนึ่งใบของเราเท่านั้น
หลังการทานเสร็จ เราจะออกมาจากร้านด้วยความรู้สึกอย่างเดียวว่า "คุ้มหรือไม่คุ้ม"
เราลืมความหมายของรสชาติอาหาร เราลืมคุณค่าของโภชนาการ
เราคิดถึงแต่เพียงอย่างเดียวถึงราคาที่เราจ่ายไป ว่า คุ้มหรือไม่?
บุฟเฟ่ต์ สร้างอำนาจหลายอย่างให้ผู้กิน เช่น อำนาจในการเลือกว่าจะกินอะไรบ้าง และสร้างอำนาจในการเรียงลำดับว่าจะทานอะไรก่อน และสร้างอำนาจด้วยว่าจะกินในปริมาณเท่าไร และคุณภาพของการกินเป็นเช่นไร
นอกจากนี้แล้ว บุฟเฟ่ต์ยังให้ผู้กินกำหนดความหมายของอาหารได้เองอีกด้วย เพราะผู้กินจะไมสนใจเรื่องรสชาติ การปรุงของเชฟมือดัง ไม่สนใจการบริการของพนักงาน ไม่สนใจราคาอาหารของแต่ละจาน ไม่สนใจเรื่องระยะเวลาของการรอคอยอาหารแต่ละจาน ไม่สนใจกระทั่งการตกแต่งร้าน แสงไฟ บรรยากาศ หรือกระทั่งการลดความสำคัญของผู้ร่วมโต๊ะอาหาร มารยาททางสังคมต่างๆกันเอาออกไป ทุกคนอยู่ภายใต้ไวยากรณ์การกินเดียวกัน คือ กินเท่าไหร่ก็ได้เท่าที่คุณกินไหว
บุฟเฟ่ต์ลดความหมายของการกินอาหารที่ฟุ่มเฟือยเหล่านั้น หรือในทางหนึ่ง มันคือความหมายของวัฒนธรรมการกินอาหารแบบชนชั้นสูง ลงมาเหลือเพียงแค่ การกินเพื่ออิ่มเท่านั้น
วัฒนธรรมการกินอาหารบุฟเฟต์ จึงทำลายวัฒนธรรมการกินอาหารแบบมีศิลปะและสุนทรียะไปจนสูญสิ้น
ความหมายเดียวที่มันหลงเหลือยู่ คือ “อิ่ม เท่ากับ คุ้ม” เพราะทุกคน หนึ่งสิทธิ หนึ่งเสีย หนึ่งราคา หนึ่งกระเพาะเท่ากัน
การกินบุฟเฟ่ต์ ของชนชั้นกลาง คือการกินอาหารในอุดมคติของความไม่อดอยาก ไม่จน ไม่ต้องหิวโซอีกต่อไป
เป็นมายคติความฝันของชนชั้นกลางที่เชื่อว่า "เราจะไม่ต้องทนความรู้สึกหิวโซ หรืออดอยากอีกต่อไป" แม้จะพบความจริงที่ว่า อีก 30 วันเราจะอยู่อยากอดอยากก็ตาม!
"all you can eat" จึงไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากการกินแบบแดกด่วน เร่งเอาปริมาณไม่สิ้นสุดเสมือนว่าพรุ่งนี้จะไม่ต้องอดอยากอีกต่อไป เป็นการกินของชนชั้นกลางที่ไร้จินตนาการของวัฒนธรรมการกิน และตอบสนองคนกินแบบตัวเลขในสมการต้นทุนกำไรของธุรกิจอาหารเท่านั้น
