ดร. ‘วิศวกร’ สนข. เล่าวินาทีถูกนายสั่งอุ้ม ปล่อยทิ้งข้างตึก!
"..ในระหว่างถูกอุ้มตัว ผมไม่มีท่าทีต่อสู้ขัดขืน หรือแม้กระทั่ง มีปากเสียงกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย...แต่จากภาพถ่ายที่ผู้พบเห็นเหตุการณ์ได้ถ่ายจากมุมสูงไว้จำนวน 5 ภาพ นั้น เป็นบริเวณเกิดเหตุที่ห้องโถงชั้น 1 ซึ่งจะเห็นว่า มีการอุ้มผมขึ้นมาจากพื้นที่ดูเสมือนประหนึ่งว่า ผมได้ขัดขืนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย.."
กรณีเหตุการณ์ นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและการจราจร (สนข.) สั่งให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอุ้มตัว ดร.อรุณ อังศุยานนท์ วิศวกรโยธาชำนาญการ ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ออกจากห้องประชุม ในคราวการประชุมคณะกรรมการกำกับงานศึกษาออกแบบรายละเอียดศูนย์กลางคมนาคมพหลโยธินและการพัฒนาต้นแบบการพัฒนาพื้นที่โดยรอบศูนย์กลางคมนาคม ครั้งที่ 7/2559 (ประชุมปิดโครงการฯ) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน 2559 เวลา 13:30 น ณ ห้องประชุม 201 อาคารสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) นั้น (อ่านประกอบ : ทุลักทุเล!ภาพบิ๊ก สนข. สั่งอุ้มตัวซี 7 ลูกน้องออกห้องประชุม ปมถกที่ปรึกษา)
กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงประเด็นความเหมาะสมระหว่าง ‘ผู้บังคับบัญชา’ ปฏิบัติต่อ ‘ผู้ใต้บังคับบัญชา’ โดยมีสาเหตุมาจากปัญหาธรรมาภิบาลในองค์กร
เรื่องดังกล่าวมีความเป็นมาอย่างไร? สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org นำคำบอกเล่าในฝั่ง ดร.อรุณ ดังบรรทัดถัดไป
เนื่องจาก ผมเห็นว่าการประชุมครั้งนี้ไม่น่าจะเป็นความลับอะไร จึงเข้าไปนั่งร่วมรับฟังการประชุม และตลอดเวลาที่ผมรับราชการที่หน่วยงานนี้มาตลอดเกือบ 20 ปี ผมก็เข้าร่วมการประชุม (ทั้งที่เกี่ยวข้องกับตัวผมเองและผมเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่เป็นการประชุมมีความน่าสนใจ) ได้มาโดยตลอด ไม่เคยมีการสั่งห้ามจากผู้บริหารในอดีตท่านใดมาก่อนเลย ซึ่งผู้บริหารท่านก่อน ๆ มักสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่เข้าร่วมรับฟังการประชุมต่าง ๆ ของ สนข. อยู่ด้วยซ้ำ (แม้ว่าการประชุมนั้นจะไม่เกี่ยวข้องกับงานที่ตนเองรับผิดชอบอยู่ก็ตาม) ทั้งนี้ก็เพื่อให้เจ้าหน้าที่ สนข. มีความรอบรู้/ร่วมรับรู้ต่อกิจการรวมถึงภาระกิจต่าง ๆ ที่ สนข. ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันนั่นเอง นอกจากนั้น ยังเป็นการแสดงให้คนทั่วไปได้เห็นด้วยว่า สนข. ทำงานกันด้วยความโปร่งใส สำหรับการประชุมครั้งนี้ก็เช่นกัน นอกเหนือจากผมที่เข้าร่วมประชุมแล้ว ก็ยังมีบุคคลอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ เข้าร่วมฟังการประชุมในครั้งนี้อยู่ด้วย ก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่า ทำไม ผอ.สนข. จึงเชิญเฉพาะผมให้ออกจากที่ประชุมแต่เพียงคนเดียว
ในรอบสามเดือนที่ผ่านมา ผมได้ถูก ผอ.สนข. ท่านนี้สั่งการให้ผมออกจากที่ประชุมมาแล้วถึง 2 ครั้ง ซึ่งผมก็ให้ความร่วมมือออกจากที่ประชุมด้วยดีโดยไม่มีการขัดขืนต่อต้าน แต่อย่างใด แต่ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้วที่ท่านสั่งให้ผมออกจากที่ประชุม ซึ่งผมเห็นว่า ผอ.สนข. ดำเนินการไม่เป็นไปตามแนวปฏิบัติของการประชุมที่ผ่านมาของ สนข. และเป็นการเลือกปฏิบัติโดยมิชอบกับผม ผมจึงได้แจ้งกับท่านในที่ประชุมว่า "คราวนี้ผมขออนุญาตไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของท่าน”
ทันทีที่ ผอ.สนข. เข้ามานั่งเป็นประธานการประชุม ท่านก็ได้เอ่ยถามในที่ประชุมว่า ใครเชิญนายอรุณฯ ให้เข้ามาร่วมประชุม และเนื่องจากไม่ได้รับหนังสือเชิญจึงขอให้นายอรุณฯ ออกจากที่ประชุมโดยทันที แต่ผมก็ยังแสดงความสนใจที่จะนั่งร่วมประชุมฯ ต่อไป ผอ.สนข. จึงได้ใช้อำนาจสั่งการให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจำนวน 4 นายขึ้นมาอุ้มผมออกจากห้องประชุม 201 (แม้ว่าผมไม่มีท่าทีแสดงการก่อกวน หรือขัดขวางการประชุม แต่อย่างใด และยิ่งไปกว่านั้น ผมยังได้สนทนากับ ผอ.สนข. ด้วยความสุภาพนุ่มนวลอีกด้วยแล้วก็ตาม) ซึ่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้ง 4 นาย ก็ได้ร่วมกันอุ้มตัวผม (อุ้มแขนและขาข้างละหนึ่งนาย) ผ่านประตูห้องประชุม 201 ชั้น 2 ผ่านระเบียงทางเดินวงกลมตรงไปยังลิฟท์ชั้น 2 เพื่อนำตัวผมลงไปยังห้องโถงชั้น 1 พอเดินเลยจุดตรวจรักษาความปลอดภัยหน้าอาคาร เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งหมดก็ได้ปล่อยตัวผมทิ้งไว้ที่นอกตัวอาคาร สนข. แล้วจึงพากันเดินกลับไปยังภายในตัวอาคาร โดยมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยรายหนึ่งขึ้นไปเดินตรวจการณ์ความปลอดภัยบริเวณหน้าห้องประชุม 201 จนกระทั่ง เสร็จสิ้นการประชุมในเวลาประมาณ 16:30 น. ส่วนตัวผมเองก็ได้เดินออกไปจากตัวอาคาร สนข. ด้วยอาการสงบ แต่ก็ยังตกใจงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ผมทำผิดร้ายแรงอะไรจนถึงกับต้องมีการอุ้มตัวกัน”
ในระหว่างถูกอุ้มตัว ผมไม่มีท่าทีต่อสู้ขัดขืน หรือแม้กระทั่ง มีปากเสียงกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย แต่อย่างใด แต่จากภาพถ่ายที่ผู้พบเห็นเหตุการณ์ได้ถ่ายจากมุมสูงไว้จำนวน 5 ภาพ นั้น เป็นบริเวณเกิดเหตุที่ห้องโถงชั้น 1 ซึ่งจะเห็นว่า มีการอุ้มผมขึ้นมาจากพื้นที่ดูเสมือนประหนึ่งว่า ผมได้ขัดขืนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย แต่ในความเป็นจริงแล้ว นั้น เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้รับการร้องขอจากผมให้วางตัวผมลงไว้ที่พื้นเป็นการชั่วคราวก่อน เนื่องจาก กางเกงในของผมหลุดออกจาก ‘ก้น’ เมื่อผมจัดการกับกางเกงในของผมเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจึงร่วมกันอุ้มตัวผมต่อไป เพื่อเอาไปปล่อยทิ้งไว้ยังนอกตัวอาคาร สนข. โดยเหตุการณ์ทั้งหมดดำเนินไปด้วยความสงบเรียบร้อย
ทั้งนี้ มีพยานร่วมเห็นเหตุการณ์ในที่ประชุมมากถึง 42 ราย อันประกอบด้วย ผู้แทนสำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม ผู้แทนกรมการขนส่งทางบก ผู้แทนการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ผู้แทนการรถไฟแห่งประเทศไทย ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง ผู้แทนกรมโยธาธิการและผังเมือง ผู้แทนสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย เจ้าหน้าที่ สนข. และกลุ่มที่ปรึกษา (ที่มี บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเม้นต์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาหลัก) นอกจากนั้น ยังมีพยานร่วมเห็นเหตุการณ์ที่อยู่ภายนอกห้องประชุมอีกเป็นจำนวนมาก ยืนถ่ายรูป/ถ่ายวีดีโอลงมาจากระเบียงทางเดินวงกลมชั้น 2 และ 3 ต่อมายังบริเวณห้องโถงชั้น 1
ตลอดช่วงเวลาเกือบ 4 เดือนที่ผ่านมา ผมได้ทำหนังสือแจ้งการทุจริตคอรัปชั่นโครงการศึกษาความเหมาะสมและออกแบบรายละเอียดระบบรถไฟทางคู่ ช่วงเด่นชัย-เชียงใหม่ ซึ่งเป็นโครงการในความรับผิดชอบของ สนข. ไปยังปลัดกระทรวงคมนาคมแล้วหลายฉบับ แต่ก็ไม่เคยได้รับหนังสือตอบกลับใดจากกระทรวงคมนาคมเลย แต่ ผอ.สนข. กลับสั่งย้ายผม (ในฐานะที่ผมเป็นคนแจ้งข่าวการทุจริตคอรัปชั่นไปยังปลัดกระทรวงคมนาคม) ให้ไปปฏิบัติหน้าที่ที่ส่วนงานอื่น ในขณะที่ข้าราชการ สนข. ที่ถูกร้องเรียนนี้กลับไม่โดนย้าย ทุกคนยังนั่งทำงานที่เดิมกันตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนับจนถึงวันปัจจุบัน ซึ่งผมก็ได้ทำหนังสือถึงปลัดกระทรวงคมนาคม ว่า ขอให้ท่านพิจารณาย้ายผู้บริหาร และข้าราชการที่ถูกร้องเรียนว่ามีพฤติกรรมทุจริตคอรัปชั่นไปปฏิบัติงานที่ส่วนงานอื่นโดยทันที แล้วขอให้ท่านปลัดกระทรวงคมนาคมตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ทั้งฝ่ายที่ร้องเรียนและฝ่ายที่ถูกร้องเรียน ซึ่งได้ทำหนังสือติดตามความก้าวหน้าผลการพิจารณาของปลัดกระทรวงคมนาคมไปแล้ว ทั้งหมดประมาณ 3-4 ฉบับ ก็เป็นเหมือนเช่นเคย กระทรวงคมนาคมก็ไม่เคยคิดมีหนังสือตอบกลับใดมายังผมเลย
ทั้งนี้ หากกระทรวงคมนาคมเห็นว่า เรื่องที่ผมร้องเรียนไปไม่มีมูลหรือไม่มีความน่าเชื่อถือ กระทรวงคมนาคมควรต้องมีหนังสือแจ้งปฏิเสธตอบกลับมายังผมว่า เรื่องนี้ไม่มีมูล แต่ทุกวันนี้ นอกจากจะไม่มีหนังสือตอบกลับมายังผมในฐานะผู้แจ้งข่าวแล้ว ยังไม่มีการย้ายข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตคอรัปชั่น และยังไม่มีการตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงใด ๆ อีกด้วย ก็ย่อมเป็นการแสดงให้เห็นว่า ปลัดกระทรวงคมนาคมยอมรับรู้ให้มีการทุจริตคอรัปชั่นกันได้ในหน่วยงานภายใต้การกำกับของกระทรวงคมนาคมหรือไม่ ผมจึงขอใช้โอกาสนี้ฟ้องประชาชนคนไทยผู้เสียภาษีทุกท่าน ว่า ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงคมนาคมได้ละเลยไม่ทำหน้าที่ดูแลเงินภาษีอากรของท่าน นิ่งเงียบโดยยอมให้หน่วยงานราชการภายใต้กำกับดูแล ทุจริตคอรัปชั่นเงินภาษีอากรของท่านได้ แม้ว่าจะมีผู้แจ้งข่าวพร้อมหลักฐานไปยังปลัดกระทรวงคมนาคมแล้วก็ตาม
สุดท้ายนี้ขอฝากถึงพี่น้องคนไทยทุกคนว่า ผมได้ปกป้องผลประโยชน์ให้กับท่านแล้วด้วยการกระทำ แต่หากผมไม่ได้รับการปกป้องจากท่านบ้าง ผมก็จะไม่สามารถรักษาชีวิตของผมให้อยู่รอดต่อไปเพื่อปกป้องผลประโยชน์ให้กับท่านได้อีก
ทั้งนี้ นายอรุณจบการศึกษาปริญญาเอกทางด้านวิศวกรรม จากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน เมดิสัน สหรัฐอเมริกา
อย่างไรก็ตาม กรณีนี้ยังไม่สามารถติดต่อนายชัยวัฒน์ ผอ.สนข. เพื่อให้ชี้แจงข้อเท็จจริงได้ ต้องติดตามกันต่อไป