พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 กับการต่างประเทศยุคหลังสงครามโลก
โชคดีของคนไทย พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ ตรัสได้หลายภาษาอย่างดีมาก ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน เข้าใจขนบ วัฒนธรรม และทรง witty แบบฝรั่ง ทั้งความสง่างาม ทุกสิ่งทุกอย่างไม่แพ้ใครในโลก ทรงน่าเกรงขาม แต่นุ่มนวล และเป็นมิตร ไม่มีคนไทยคนไหนทำได้ขนาดนั้น
วันที่ 25 ตุลาคม 2559 ดร.สมเกียรติ โอสถสภา อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์บทความในเฟชบุค Somkiat Osotsapa
เรื่อง พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 กับการต่างประเทศยุคหลังสงครามโลก บุญวาสนาของคนไทยและประเทศไทย
คณะราษฏร์เอารถถังสองคันไปจับเด็กนักเรียนเป็นตัวประกัน ยืดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครองได้สำเร็จในปี 2475 ปีต่อมาก็ปฏิวัติกันเอง
หลังจากนั้นการเมืองไทยก็วุ่นวายไม่ทีที่สิ้นสุด ทะเลาะกันเอง ไม่มีแผนเศรษฐกิจ ที่มีก็จะให้ไทยเป็นคอมมิวนิสต์ให้ได้ ปิดการศึกษามัธยมปลายของโรงเรียนต่างๆ หาว่า เจ้าสร้างขื้น
ผ่านไป 9 ปีก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 2484 ไทยประกาศเข้าข้างญี่ปุ่น คิดว่าญี่ปุ่น เยอรมันจะชนะสงคราม ถือว่า ล้มเหลวในการอ่านเกมสงคราม เพราะไม่ได้คำนวณถึงขบวนการกู้เอกราชอินเดีย และอเมริกา
พ.ศ. 2485 เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่กรุงเทพ และทั่วภาคกลาง เนื่องจากไม่มีเขื่อน ฝาย จึงเกิดการขาดแคลนอาหาร ของใช้ เดือดร้อนกันทั้งประเทศ ผลของสงครามทำให้ไม่มีเวลาพัฒนาอะไร โรงเรียนปิด
ในปี 2487-2488 กรุงเทพถูกทิ้งระเบิดโดยเครื่องบินราว 2,500 ลำ สะพานพุทธ สะพานเดียวที่เชื่อมกรุงเทพกับธนบุรีพัง ซ่อมเปิดใช้การได้ในปี 2493 สถานีรถไฟพังหมด ตั้งแต่หัวลำโพง ธนบุรี - โกโบริตายที่นี่ บางซื่ิอ ทุกแห่ง รวมถึงทางรถไฟไปพม่า โรงไฟฟ้าวัดเลียบถูกระเบิด ไม่มีไฟฟ้าใช้กัน
เรียกว่า ระบบสาธาณูปโภค การขนส่งพังหมด เรือจมไปร่วม 100 ลำ เครื่องบินของไทยปลอดภัย เพราะข้าศึกมองไม่เห็น โดนทิ้งระเบิดข้างเดียว เพราะ ปตอ ไทยยิงไม่ถืง บั้งไฟแสนก็ไปไม่ถืงเหมือนกัน
สงครามจบลงในปี 2488 ไทยยอมแพ้ ต้องทำสัญญากับออสเตรเลีย อังกฤษ ฝรั่งเศส จ่ายค่าปฏิกรรมสงคราม หลังจากนั้นก็เป็นเวลาซ่อมเศรษฐกิจ และจ่ายหนี้มหาศาล หนี้สงครามเยอะมาก ต้องจ่ายข้าวให้อังกฤษ 3 ล้านตัน
มีสัญญาห้ามขุดคอคอดกระด้วย ค่าเงินก็อ่อน ไม่มีรายได้ ญี่ปุ่นมาพิมพ์เงินฟรีไปมาก สมัย ร.4 หนึ่งบาทเท่ากับหนึ่งปอนด์เชียว
เอาว่า ก่อนปี 2500 ประเทศไทยจนมาก แร้นแค้น ไม่มีถนน ไฟฟ้า น้ำประปา โรงพยาบาล หมอ พยาบาล โรงเรียน คือมีบ้าง เป็นบางที่ คนส่วนใหญ่อาศัยกระต็อบหลังคามุงจาก
มีปัญหาว่า ข้าวจะไม่พอกิน ไก่ หมูเป็นของหายาก ใช้หนี้กันยาวนาน
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลท ขื้นครองราชย์ในปี 2489 ในสถานการณ์ที่อันตรายมาก ่ อันตรายจากคนในรัฐบาล บ้างก็แนวฮิตเลอร์ บ้างก็แนวบอลเชวิก
ทรัพย์สิน เช่น ที่ดินของพระมหากษัตริย์แถวรอบวังสวนจิตร สามเสน ศาลาแดง สีลม ถูกเอาไปขายแบ่งกัน
สถิติปี 2503 ที่ฝรั่งมาสำรวจให้ UN Escap ไทยมีรายได้ต่อหัวต่ำสุดในเอเซีย ต่ำกว่ามาเลย์ 4 เท่า ต่ำกว่าเวียดนาม กัมพูชา ลาว พม่า อินเดีย ฟิลิปปินส์ แค่ 2,000 บาทต่อคนต่อปี ต่ำกว่าญี่ปุ่น 8 เท่า ญี่ปุ่นสร้างเครื่องบิน เรือรบ เหล็ก เป็นตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 แล้ว
รัชกาลที่ 9 ในหลวงของเรา ทรงพลิกฟื้นสถานะไทยกับต่างประเทศ
สถานการณ์ยุคนั้นคือ
ไทยต้องการมิตรประเทศเพื่อมาป้องกันอันตรายจากภัยคุกคามรอบบ้าน
ไทยต้องการเงินเพื่อมาลงทุนสร้างถนน น้ำ ไฟฟ้า เขื่อนกันน้ำท่วม การศืกษา โรงพยาบาล
ไทยต้องการให้มีการลงทุนสร้างอุตสาหกรรม และบริการ ขยายการเกษตร สร้างงานให้คน
ไทยต้องการการยอมรับนับถือจากต่างชาติ ให้คนลืมสงครามโลกครั้งที่สอง
ไทยต้องการพัฒนาให้เท่าเทียมประเทศเพื่อนบ้าน
ในหลวงเสด็จประพาสประเทศในตะวันตก 14 ประเทศ หกเดือนเต็ม พร้อมพระราชินี มีม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นแม่กองจัดการ ท่านผู้นี้เป็นแม่กองจัดการเสด็จต่างจังหวัดด้วย
โชคดีของคนไทย
พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ ตรัสได้หลายภาษาอย่างดีมาก ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน เข้าใจขนบ วัฒนธรรม และทรง witty แบบฝรั่ง ทั้งความสง่างาม ทุกสิ่งทุกอย่างไม่แพ้ใครในโลก ทรงน่าเกรงขาม แต่นุ่มนวล และเป็นมิตร ไม่มีคนไทยคนไหนทำได้ขนาดนั้น
การที่ทรงศึกษาที่สวิสเซอร์แลนด์นั้น คนยุโรปและอเมริกาถือว่า สุดยอดแห่งอารยธรรม ,เป็นสังคมที่สร้างคนที่เข้าใจอารยธรรมหลากหลาย ทั้งสองพระองค์มีพระบุคลิกภาพที่เป็นที่ชื่นชมของคนในทุกประเทศ สมเด็จพระนางเจ้าฯ นั้น ได้ชื่อว่าพระราชินีที่สวยที่สุดในโลก รูปถ่ายลงปกหนังสือพิมพ์ ออกทีวีกันมากมาย
"ผมเป็นเด็กภูมิใจมาก"
ทั้งสองพระองค์นั้นทรงเป็นนักการต่างประเทศ และนักการทูตที่ยอดเยี่ยมมากที่สุด
ทรง nobility มาก การเสด็จเยือนจึงได้ความเคารพนับถือจากประมุขประเทศ หัวหน้ารัฐบาล รัฐบาล และที่สำคัญประชาชนของประเทศนั้นๆ ออกมารอรับกันเนืองแน่น ต้อนรับใหญ่โตมากๆ ข่าวกระจายจากที่หนื่งไปอีกที่หนื่ง
ในยุคนั้นสถาบันกษัตริย์ในยุโรปสูงส่งมาก นี่เป็นคุณต่อประเทศไทยที่มีสถาบันกษัตริย์
จากการเสด็จเยือนของทั้งสองพระองค์ ต่อมาประมุข และหัวหน้ารัฐบาลเหล่านั้นก็มาเยือนประเทศไทยอีก ชื่อประเทศไทยปักสง่างามบนแผนที่โลก
ต่อมา ทรงเสด็จเยือนประเทศในเอเซีย เมื่อทรงได้รับมาตรฐานระดับสูงลิ่วนั่น แถวเอเซียก็ต้อนรับยิ่งใหญ่มาก เชิงแข่งนิดๆ
คนไทยภูมิใจกันสุดๆ นี่คือการทูตที่ดีที่สุดของไทย
มาถึงยุคโลกสองขั้ว พระองค์ท่านช่วยให้ประเทศไทยยืนถูกข้าง ไม่ล้ม สมัยพวกผมเรียนมหาวิทยาลัย ประธานาธิบดี เมื่อกษัตริย์ หัวหน้ารัฐบาลต่างๆจะมา เมืองไทย สมเด็จพระนางเจ้าจะทรงตรัสในหอประชุมว่าว่า "ข้าพเจ้าจะมีแขกมาเยือน ช่วยกันหน่อยนะ"
พวกผมก็ได้ทำประโยชน์เช่นไปยืนเข้าแถวรับบ้าง แปรอักษรบ้าง นั่งปรบมือในหอประชุมบ้าง ใครว่าในหลวง พระราชินี คนไทยโกรธ พวกเราถือว่า เป็นงานของเราคนไทยทั้งชาติ
ประเทศไทยได้อะไร
ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก เรื่องไทยเป็นประเทศแพ้สงครามโลกครั้งที่สองร่วมกับญี่ปุ่น เยอรมัน อิตาลี หายไป
มีเงินช่วยเหลือหลั่งไหลเข้ามา พร้อมเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เขื่อนเจ้าพระยายุคนั้น 3,500 ล้านบาทเอง ทุนเรียนนอกเยอะมาก ตลาดสินค้าเปิด มีการลงทุนเข้ามามาก ตั้งแต่นั้น การท่องเที่ยวก็เริ่มจากราว 1 ล้านคน มาจนปัจจุบัน
เป็นยุคของการฟื้นฟูอารยธรรม วัฒนธรรม อวดแขกเมืองแพร่ไปทั่วโลก
เป็นยุคที่ประมุขต่างประเทศเสด็จเยือนต่างจังหวัด เช่น เชียงใหม่ จนกลายเป็นเมืองระดับโลก
เป็นจุดเริ่มต้นของการมาทำข่าวประเทศไทยไปทั่วโลก
คนรุ่นผมเรียนรู้จากการช่วยงานพระองค์ท่านกันทั้งประเทศ
เราจึงภูมิใจมาก ที่พระประมุขของเราทรงฉลาด เยี่ยมยอด เปี่ยมความสามารถ
วันนี้ สมเด็จพระบรมราชินีนารถทรงเป็นพระราชินีผู้ครองราชย์ยาวนานที่สุดของโลก
ความลับ
ที่ไทยมีความสัมพันธ์ที่ดี เกิดอาเซียน 10 มั่นคงมานาน เพราะในหลวง
จีนบอกว่า ทรงเป็นผู้สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างสองแผ่นดิน
พระจักรพรรดิญี่ปุ่นนั้น ใกล้ชิดกับพระราชวงศ์ไทยมาก การลงทุนญี่ปุ่นจึงมากันเพียบ
ประธานบริษัทใหญ่ๆของญี่ปุ่นตัดสินใจลงทุนทันทีที่ได้เข้าเฝ้า
ทรงปิดทองหลังพระให้คนไทยมากมายจริงๆ....
ที่น่าประหลาด คือ ทั้งสองพระองค์ไม่เคยพูดว่าทรงทำอะไรให้ประเทศมากมายมหาศาลขนาดไหน ทรงปิดทองหลังพระ
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 กับการต่างประเทศ บุญวาสนาของคนไทยและประเทศไทย ในสถานการณ์ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่2 เมื่อนักข่าวต่างชาติถามในหลวงว่า ทำไมจืงไม่ค่อยยิ้ม
ทรงชี้ไปที่สมเด็จพระนางเจ้า แล้วบอกว่า
That is my Smile