ย้ำข้าวอยู่ครบ “ยรรยง”ลั่น“ป.ป.ช.”ใช้ข้อมูล“สุภา – วิชา”ตัดสินไม่ถูกต้อง
“ยรรยง” ยื่นหนังสือแจงข้อเท็จจริงความเสียหายรับจำนำข้าวแก่ “ป.ป.ช.” ย้ำข้าวอยู่ครบ ลั่นใช้ข้อมูลของ “สุภา – วิชา” ตัดสินไม่ถูกต้อง ชี้อาจวินิจฉัยผิดพลาด ชวนลงพื้นที่ตรวจสอบสถานที่จริง แนะกรองเรื่องร้องเรียนให้ดีเสียก่อน
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2557 เวลาประมาณ 10.45 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ จ.นนทบุรี นายยรรยง พวงราช รักษาการรมช.พาณิชย์ เดินทางเข้ามามอบหนังสือรายงานข้อเท็จจริงความเสียหายโครงการรับจำนำข้าวให้กับคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรณีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ไม่ระงับยับยั้งความเสียหายโครงการรับจำนำข้าว
นายยรรยง กล่าวว่า ประเด็นสำคัญในโครงการรับจำนำข้าวคือ ประเด็นสต็อกข้าวมีความเสียหายมาก – น้อยขนาดไหน ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. อ้างอิงหลักฐานจากน.ส.สุภา ปิยะจิตติ ประธานอนุคณะกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว โดยในรายงานปิดบัญชีครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 ของน.ส.สุภานั้น รัฐบาลตรวจสอบพบว่า ไม่ได้มีการนับข้าวในสต็อกข้าวของรัฐบาลจำนวนรวมกว่า 2.5 ล้านตัน และ2.9 ล้านตันตามลำดับ ทำให้มีตัวเลขขาดทุนประมาณ 200,000 ล้านบาท ซึ่งความจริงหากรับนำรวมจำนวนดังกล่าวเข้าไปด้วยการขาดทุนน่าจะมีประมาณกว่า 100,000 ล้านบาทเท่านั้น
นายยรรยง กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับที่นายวิชา มหาคุณ คณะกรรมการ ป.ป.ช. เคยกล่าวผ่านสื่อว่า มีข้าวหายไปจำนวน 2 ล้านตันเช่นกัน ดังนั้นเกรงว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. อ้างอิงหลักฐานจากน.ส.สุภา และคำกล่าวของนายวิชา ถ้าถือตัวเลขตามนั้นจะไม่ถูกต้อง ทั้งนี้รัฐบาล และน.ส.ยิ่งลักษณ์ สั่งให้พล.ต.ต.ธซัช บุญเฟื่อง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เป็นคนตรวจสอบแล้ว ซึ่งก็พบว่าไม่มีข้าวในโกดังขาดหายไปแต่อย่างใด และนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รักษาการรองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ ก็ตรวจสอบสต็อกข้าวครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 27 – 28 มีนาคม 2556 พบว่าข้าวอยู่ครบที่ 18.72 ล้านตัน
“หากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ใช้ข้อมูลของคุณสุภา และคณะกรรมการ ป.ป.ช. บางท่านที่ให้สัมภาษณ์ในกรณีดังกล่าว อาจนำไปสู่การวินิจฉัยที่ผิดพลาดได้ เพราะข้อเท็จจริงไม่ถูกต้อง ขอยืนยันว่าข้าวในสต็อกยังอยู่ครบ” นายยรรยง กล่าว
นายยรรยง กล่าวด้วยว่า เพื่อลดความเคลือบแคลงของประชาชน และคณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงขอให้ใช้วิธีการตรวจสอบข้อเท็จจริงนอกสถานที่ สามารถสุ่มตรวจสถานที่ที่คิดว่าน่าจะมีการทุจริต และรัฐบาลพร้อมให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ เพื่อแสดงให้เห็นว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ทั้งนี้ไม่ได้เป็นการประวิงเวลา แต่เพื่อให้หมดความสงสัยจากทุกฝ่ายเท่านั้น
“การที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. รับเรื่องจากผู้ร้องเรียน หรือนักการเมืองนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. ควรตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องที่ร้องเรียนเสียก่อน เพราะบางทีอาจมีผู้เสียผลประโยชน์เข้ามา ทำให้ฝ่ายที่ถูกร้องเรียนเสียเปรียบได้” นายยรรยง กล่าว